วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

+++ Opitmize S50z13 Dec 2013



+++ Arbitrage คืออะไร มีการนำไปใช้ หรือมีกลยุทธ์แบบไหน ดีไม่ดียังไงบ้าง...

พอดีอยากรู้เรื่องนี้ Arbitrage เลยค้น ๆ อ่านแล้ว ชอบมาก การแลกเปลี่ยน พูดคุย ยกตัวอย่าง การนำไปใช้ ชัด ง่าย ไม่ซับซ็อน ขอคัดเป็นส่วนที่สำคัญ ๆ ออกมาเก็บไว้นะครับ ขอบคุณทุกแหล่งความรู้ และพี่ ๆ กูรูทุกท่านมาก ๆ ครับ 

ความคิดเห็นที่ 2   

arbitrage พูดง่ายๆก็คือ คุณยืมรถเพื่อนห่วยๆมาย้อมแมวขายในราคารถใหม่ แล้วคุณก็เอาเงินนั้นมาซื้อรถคันใหม่แล้วก็จ่ายเงินคืนเพื่อนในราคารถเก่า

พูดง่ายๆก็คือ เป็นการได้กำไรโดยปราศจากความเสี่ยงโดยการ หา securities ที่ mispriced

ส่วนการ hedge ก็ง่ายมาก ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทคุณต้องการน้ำมัน 100 ถังแต่กัวว่าในอนาคตราคามันจะขึ้นไปอีกสูงมากๆๆๆ คุณก็ซื้อ future ไว้เลย 100 ถัง เท่านี้คุณก็จะสบายใจเฉิบว่า อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าราคาที่คุณจ่ายไปน่ะ จะไม่มีทางเปลี่ยน แต่ในทางกลับกัน หากราคามันถูกลง แทนที่จะแพงขึ้น คุณก้อเสียตังค์ฟรี 

จากคุณ : ! o_o !   - [ 25 ก.ย. 48 00:44:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3   

ขอเสริมหน่อยนะครับเดี๋ยวจะเข้าใจผิด การarbitrage ไม่ใช่การย้อมแมวนะครับ แต่สินค้าที่จะเกิดการarbitrageนั้นจะต้องมีคุณสมบัติเหมือนกันครับ แต่เนื่องจากสถานที่ต่างกันทำให้ราคาต่างกันส่วนมากราคาที่ต่างกันก็คือค่าขนส่งครับ ฉะนั้นเมื่อมีช่วงที่สามารถหากำไรได้ก็จะมีการซื้อสินค้าในที่ที่ราคาถูกกว่าไปขายที่ที่ราคาแพงกว่า ทำให้สุดท้ายราคามาเท่ากันครับ 
สรุปแล้วการทำ arbitrage คือการหากำไรโดยปราศจากความเสี่ยงคร้าบ 

จากคุณ : นอนใจ (galadinner)  - [ 25 ก.ย. 48 01:32:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5   

ยกตัวอย่างง่ายๆ

ถ้ามี การตั้งโต๊ะทำ Tender Offer 10 บาท ขณะที่ ราคา ตลาด 5 บาท คุณก็รีบซื้อที่ราคาต่ำกว่า 10 บาท คุณก็กำไรชัวร์ไงครับ ไม่ใช่ย้อมแมวนะครับ

หรือคุณเป็น พนักงาน กฟฝ ราคา IPO ประมาณ 29 บาท แต่ได้ราคาพาร์ 10 บาท แค่นี้คุณก็ทำ arbitage ได้แล้ว กำไรเห็นๆ
แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 48 09:51:24 

จากคุณ : Siriwat_V   - [ 25 ก.ย. 48 09:30:17 ]

ความคิดเห็นที่ 7   

ครับไม่ใช่ย้อมแมวครับ แต่ที่สำคัญคือต้องมีอันไหนอันหนึ่งที่มัน mispriced พูดง่ายๆคือ คนขายมันโง่ หรือคนซื้อมันโง่ ถึงจะได้กำไร (ดังนั้น assumption ของ arbitrage condition ในการ pricing จึงมีไว้เพื่อสมมุติว่าทุกอย่างในโลกจะมีราคาที่ถูกต้องไม่เช่นนั้นจะมีคนมา arbitrage ให้ราคามันถูกผลักมาที่เดิม)

ยกตัวอย่างเลย สมมุติว่าคุณคิดว่า ในอนาคต ราคาน้ำมันควรจะลดลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้น แล้วคุณเห็น future น้ำมันราคาสูงกว่าปัจจุบันอยู่ในตอนนี้ คุณก็ short future น้ำมันเลย ก็จะได้ราคาที่สูงสมมุติว่าเป็น สรุปว่าในวันนี้คุณจะได้เงิน สบายใจเฉิบ 

แล้วคุณก็ รอ รอ รอ รอ พอไปถึงวันที่ future จะถึงวัน maturity ถ้าคุณทายถูก ราคามันก็จะต่ำๆๆๆ ลงมา ในตอนนี้คุณต้อง close short position ของคุณ ฉะนั้น คุณต้องซื้อคืนมา แต่ถ้าคุณทายถูก ราคาน้ำมันในตอนนี้มันควรจะต่ำๆๆๆๆ สมมุติ ฉะนั้น คุณก็จะได้เงินสบายเฉิบไป 60 - 20 = 

ปล.  แต่อันนี้ที่จริงมีความเสี่ยง เราสมมุติว่า คุณรู้ 100% ว่าราคามันจะลงมาแน่ๆ ซึ่งไม่มีหรอก แม้กระทั่งในชีวิตจริง arbitrage ไม่ใช่อะไรที่จะทำได้ง่ายๆ เพราะความเสี่ยงในตลาดที่วัดเป็น variance อะไรแบบนี้ มันไม่เหมือนความเสี่ยงในชีวิตจริง ที่เสียแล้วเสียเลย ส่วน variance เป็นค่าความเสี่ยงที่ใช้ข้อมูลที่ผ่านมา ฉะนั้นตามหลักแล้ว ในอนาคตอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ (random walk) วันๆคิดว่า us govt bond risk free วันต่อมาอาจเจอ katrina เข้าไปยี่สิบลูก default เลยใครจะไปรู้ 

จากคุณ : ! o_o !   - [ 25 ก.ย. 48 12:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9   

ผมแปลภาษาชาวบ้าน และจะอธิบายอย่างง่ายๆ ไม่มีศัพท์ technic นะครับ เอาโดยหลักการ

ARBITRAGE

จับเสือมือเปล่า โดยไม่มีความเสี่ยง


เช่น

ไข่ราคา 3 บาท
มังคุดราคา 5 บาท
แต่มีคนรับซื้อไข่ โดยเค้าบอกว่า มังคุด 1 ลูก แลกไข่ได้ 2 ใบ
คุณก็ไปซื้อ มังคุด มา 5 บาท
แลกไข่มา 2 ใบ
ได้กำไรเห็นๆ 1 บาท
แนวๆนี้ครับ

Option / futures เหมือนกับ สัญญาแหละครับ
ใช้เพื่อ แลกเปลี่ยนความเสี่ยง ระหว่างกัน สำหรับคนที่มีมุมมองไม่เหมือนกัน หรือเหมือนกัน แต่ต่าง degree กัน
เช่น
คนนึงมองว่า บาทจะไป 45 /USD
อีกคนนึงมองว่า บาทจะไป 44/USD

หรือ คนนึมองว่า ยบาทจะแข็งไป 39
อีกคนบอกว่า บาทจะอ่อนไป 41

ทั้ง 2 กรณีนั้น ทำให้มี option / futures เกิดขึ้นมา

ตัวอย่างนะครับ

เช่น
คุณทำไข่เจียวขาย
ตอนนี้ไข่ ราคา 5 บาท
คุณคิดว่า ปีหน้า ไข่ราคา 10 บาท
คุณจึงกลัวว่า วัตถุดิบคุณจะแพง
แต่มีคนขายไข่อีกคน ที่คิดว่า มันไม่มีน่าแพง ขนาดนั้น
อย่างมากก็ 6บาท/ ฟอง

**กรณีที่ 1.
OPTION***
คน 2 คนคุยกัน และ คนขายไข่เจียวบอกว่า
เอางี้ละกัน ผมให้คุณ 100 บาท
แต่ผมขอสิทธ์ที่จะซื้อไข่จากคุณ ณ ราคา 6 บาท จำนวน 100ฟองละกัน คนขายไข่ Ok.. (คนซื้อ สามารถใช้สิทธิ์ หรือไม่ก็ได้)

ข้อดีสำหรับคนขายไข่เจียว: ถ้าราคาไข่แพงขึ้นมาก อย่างมาก ก็เท่ากับซื้อไข่ได้ในราคา 7 บาทต่อฟอง ในทางกลับกัน ถ้าราคาไข่ลงต่ำกว่า 6 บาท ก็ซื้อในราคาตลาด ยอมเสีย 100 บาทเป็นค่ากระจายความเสี่ยง..

ข้อดีสำหรับคนขายไข่: ไข่ไม่มีทางแพงขึ้นเกิน 6 บาทแน่ๆ หรือถ้าแพงเกิน 6 บาท ก้ยังมี 100 บาทที่ได้เป็นค่าทำสัญญามาเฉลี่ย


Futures/ forward
แบบเหตุการณ์ข้างบน
แต่ คนซื้อ/ขาย ไม่มีสิทธิ์เลือก
ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ในอนาคต


ถ้ามีคำถาม PM/MSN มาได้ครับ 

จากคุณ : -tai-  - [ 25 ก.ย. 48 15:04:00 ]

ความคิดเห็นที่ 10   

แหม๋จะว่าเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่มีความเสี่ยงผมก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ครับ เพราะเรารู้ว่าทุกๆอย่างมีความเสี่ยง

แต่เอาเป็นว่าการทำarbitrageคือการทำธุรกรรมโดยเล็งเห็นผลในการทำกำไรได้ โดยทั่วไปจะเกิดจากmarket imperfectionที่มีผลให้ราคาที่ปรากฎอยู่ในตลาดต่างๆไม่สอดคล้องกัน เช่นถ้าส้มที่กรุงเทพฯขายกก.ละ10บาท  แต่ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ ราคาส้มที่เชียงใหม่บวกค่าใช้จ่ายต่างๆในการนำส้มลงมาขายที่กรุงเทพฯเช่นค่าขนส่ง จะต้องเท่ากับสิบบาทเช่นกัน

ในกรณีที่ราคาไม่เท่ากันarbitragerสามารถทำการซื้อขายโดยทำกำไรจากความต่างของราคานี้ได้ครับ เช่นถ้าราคาที่เชียงใหม่กก.ละ3บาท ค่าขนส่ง6บาท (รวม9บาท) arbitragerสามารถนำส้มจากเชียงใหม่ลงมาขายที่กรุงเทพฯโดยทำกำไรได้1บาทครับ แต่Speculatorก็ทำธุรกรรมเช่นนี้อยู่เสมอๆ

ดังนั้นเงื่อนไขที่สำคัญที่จะทำให้สามารถแยกarbitragerจากspeculatorได้ก็คือ cash flow(กระแสเงินสด)ของarbitrager ตลอดระยะเวลาการทำธุรกรรมนี้ต้องเท่ากับศูนย์หรือมากกว่าเสมอครับ ถ้าcash flowคุณติดลบ โดยทางทฤษฎีแล้วคุณจะกลายเป็นspeculatorครับ 

จากคุณ : fqmm1974  - [ 26 ก.ย. 48 00:37:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11   

คำถามของคุณน่าจะเกี่ยวกับrisk managementครับ

ต้องเข้าใจก่อนว่าในตลาดมีplayerอยู่3ประเภทคือ
1.Hedger
2.Speculator
3.arbitrager 

Hedgerคือผู้ที่ไม่อยากได้รับความเสี่ยงของความผันผวนของราคา(ในอนาคต) เช่นชาวนานำข้าวมาขายล่วงหน้าในราคาที่มีอยู่ในตลาดครับ

Speculatorคือผู้ที่คิดว่าสามารถคาดเดาความเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคตได้เลยมาทำการซื้อขายในปัจจุบัน โดยหวังว่าจะสามารถทำกำไรจากส่วนต่างของราคาในอนาคตได้ครับ

ในตลาด2playersนี้จะทำให้เกิดliquidityในตลาดเพราะจะทำให้มีผู้ซื้อและผู้ขายอยู่ในตลาดครับ

ส่วนarbitragerก็อย่างที่บอกไว้ในกระทู้ด้านบนครับ มีหน้าที่ทำให้ตลาดอยู่ในจุดที่สมดุลย์(equilibrium)

ตอบคำถามครับ การป้องกันความเสี่ยงหรือ hedging คือการทำuncertaintyในอนาคตให้certainครับ คือถ้ามีข้าวที่จะเก็บเกี่ยวในอีก3เดือนข้างหน้า ชาวนาก็จะขายล่วงหน้าเลยในราคาที่อยู่ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าครับ

การถัวความเสี่ยง อันนี้ไม่แน่ใจคำถามครับ จะหมายความถึงการกระจายความเสี่ยงหรืออย่างไรครับ

ฟิวเจอร์ส (Futures) อันนี้เหมือน Forwardครับ แต่ฟิวเจอร์สจะอยู่ในแบบฟอร์มมาตราฐานครับ ต้องมีmaginที่ต้องmaintainกันด้วยครับ ส่วนForwardจะเป็นtailor madeหรือตกลงเงื่องไขกันเอง ย่อประมาณนี้ครับ รายละเอียดจำไม่ค่อยได้แล้วครับ

"สองตัวนี้ล่ะที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการทำกิจกรรมทั้งสองอย่าง ยังไงมั่งครับ" ไม่เข้าใจคำถามครับ 

จากคุณ : fqmm1974  - [ 26 ก.ย. 48 00:56:24 ]

arbitrage ถือว่า ไม่มีความเสี่ยงครับ

อันนี้ ไม่ใช้ arbitrage ครับ:

ในกรณีที่ราคาไม่เท่ากันarbitragerสามารถทำการซื้อขายโดยทำกำไรจากความต่างของราคานี้ได้ครับ เช่นถ้าราคาที่เชียงใหม่กก.ละ3บาท ค่าขนส่ง6บาท (รวม9บาท) arbitragerสามารถนำส้มจากเชียงใหม่ลงมาขายที่กรุงเทพฯโดยทำกำไรได้1บาทครับ แต่Speculatorก็ทำธุรกรรมเช่นนี้อยู่เสมอๆ

เพราะมี time frame เข้ามาเกี่ยวข้อง (เวลาการขนส่ง, ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น, etc) arbritrage ต้องไม่มีส่วนต่างของเวลา เพราะ ตราบใดที่มีเงื่อนไขเวลา มันเหมือนการค้าขายทั่วๆไปครับ 

จากคุณ : -tai-  - [ 26 ก.ย. 48 01:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14   

option ก็คล้ายๆกับ forward แต่ต่างกันตรงที่สัญญาไม่ผูกพันให้ผู้ซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อ/ขาย ต้องทำตามสัญญา โดยผู้ซื้อสิทธิ์สามารถที่จะทำตามสัญญารึไม่ก็ได้ ถ้าเค้าจะได้ประโยชน์จากสิทธิ์นั้น ก็จะexercise ถ้าไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ exercise 

จากคุณ : is that so?  - [ 26 ก.ย. 48 22:14:49 ]



กรณีศึกษาอีกอัน  http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=21213

การทำกำไรโดยการใช้ กลยุทธ์ Arbitrage (สำหรับคนที่ยังไม่รู้นะครับ วันนี้นั่งศึกษาเกี่ยวกับการทำ Arbitrage เพราะไปงานสัมนางานหนึ่ง ซึ่งพิธีกรได้พูดเกี่ยวกับการทำ Arbitrage ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการทำกำไรโดย"ไม่มี" ความเสี่ยง (เห็นเขาพูดไว้อย่างนั้นนะครับ) ทำกันอย่างไร มีคนอธิบายไว้ดีมากเลยครับ

การทำกำไรโดยวิธีการทำ Arbitrage หุ้น

การทำกำไรสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยไม่มีความเสี่ยงต่อการถือหุ้นนั้น เราสามารถใช้เทคนิคการ Arbitrage ซึ่งเป็นการหาผลตอบแทนเทียบกันระหว่าง 2 หลักทรัพย์ โดยมีวิธีการคือเราจะเปลี่ยนไปถือหลักทรัพย์ที่มีส่วนต่างของกำไรที่สูงกว่า โดยไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของราคาเข้ามากระทบแต่อย่างไร หรือไม่มีความเสี่ยงจากการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ครับ


ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว เอาตัวอย่างของจริงมาดูกัน วันนี้วันที่ 4 ตุลาคม 2549 มีเหตุการณ์ของหุ้นตัวหนึ่งที่ทำให้สามารถทำ Arbitrage ระหว่างหลักทรัพย์ Warrant คือหุ้นลูก และหุ้นแม่ที่ใช้อ้างอิง

ขอใช้เป็นระหัสนะครับ คือหุ้นสารพัดช่าง หรือหุ้นช้างครับ

ตัวลูกสามารถแปลงสภาพได้ในราคา 4.50 บาทต่อหุ้น แปลงได้ทุกไตรมาส หมดเขตแปลง มี.ค. 50 ซึ่งหมายความว่า เราอาจใช้สิทธิแปลงสภาพทีละไตรมาส โดยแปลงหุ้นลูกเป็นหุ้นแม่ โดยมีระยะเวลาแปลงสภาพเหลืออยู่อีกประมาณ 6 เดือน ตัวลูกช่วงเช้าอยู่ที่ 3.70 - 3.72 แต่ตัวแม่อยู่ที่ 8.55

ถ้าเราต้องการถือหุ้นแม่ในระยะยาว โดยไม่ต้องการขายในระยะสั้น เราสามารถทำ Arbitrage หุ้นได้ทันที โดยใช้วิธีการคือ

เอาตัวลูกแปลงเป็นตัวแม่ได้ 3.72 + 4.5 บาท ได้ราคา 8.22 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นแม่อยู่ที่ 8.55 บาทต่อหุ้น ใครมีหุ้นสารพัดช่าง ขายตัวแม่ทิ้ง แล้วซื้อตัวลูกไปแปลงสภาพ ได้กำไรส่วนต่างเห็น ๆ 8.55 - 8.22 บาทต่อหุ้น หรือเท่ากับ 0.33 สตางค์ต่อหุ้น โดยไม่มีความเสี่ยงในการถือหุ้นแต่อย่างไร เพราะหุ้นลูกแปลงเป็นหุ้นแม่ได้ทุกไตรมาสอยู่แล้ว ใครถือยาวและเป็นนักลงทุนที่มีเหตุผล จึงต้อง Atbitage ครับกำไรเห็น ๆ ทันที ลดต้นทุนหุ้นแม่ไป 0.33 ต่อหุ้น

แต่ช่วงที่เขียนต่อมาราคาปิดตลาดวันนี้ ราคาหุ้นแม่อยู่ที่ 9.05 บาทต่อหุ้น และหุ้นลูกอยู่ที่ 4.16 บาทต่อหุ้น หุ้นลูกแปลงเป็นหุ้นแม่ได้ในราคารวมเท่ากับ 8.66 บาท ตอนนี้ราคายิ่งน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะ ราคาแปลงสภาพจะถูกกว่าหุ้นแม่ 9.05 - 8.66 บาทหรือเท่ากับ 0.39 บาท คิดเป็นกำไรส่วนต่าง 4.30% เทียบกับราคาหุ้นแม่ครับ แบบนี้ถือลูกแปลงแม่ดีกว่าครับ


อันนี้เป็นเทคนิคที่อาจารย์ใหญ่ ดร.นิเวศน์เคยบอกไว้ในหนังสือผมอ่านมานานแล้ว จำไม่ได้ว่าเล่มไหนนะครับ เพราะอาจารย์แต่งหลายเล่มเหลือเกินครับ วันนี้เห็นของจริงเลยครับ เลยได้ทำ Arbitrage แล้วได้ค่าขนมไปเรียบร้อยแล้ว แถมวันนี้หุ้นลูกขึ้นแรงกว่าหุ้นแม่เสียอีกครับ อิ อิ ใครไม่อยากแลกหุ้นแม่ ก็หาโอกาสทำกำไร 2 ชั้น ได้กำไรทั้งหุ้นแม่ และกำไรหุ้นลูก 2 เด้งเลยครับ หรือถ้าคิดว่าเป็นหุ้นที่ดี เราก็อาจจะลงทุนระยะยาวต่อไป แถมเราก็สามารถประหยัดต้นทุนได้ตามที่อธิบายไว้ครับ อิ อิ

ขอบคุณ ขอบคุณคุณ Bul และคุณเปิล ด้วยนะครับ 

Posted by : SiTh LoRd P@cK

ปิดท้ายด้วย Blog ของคุณลุงแมวน้ำครับ 


และประโยคสรุปของคุณลุง แจ่มมาก ลุงบอกว่า

"หลักการในการทำไรจากราคาที่แตกต่างกันระหว่างสองตลาดหรือที่เรียกว่าอาร์บิทราจ ซึ่งปกตินักลงทุนหรือกองทุนใหญ่ๆที่ลงทุนข้ามชาติมักทำกัน ส่วนใหญ่ได้กำไรจากช่องราคาที่แตกต่างกันนิดหน่อยแต่เน้นที่ใช้ปริมาณสัญญาจำนวนมาก หมายถึงว่าหนึ่งสัญญากำไรนิดเดียวถือสัญญาเพียงระยะสั้น ไม่ถือนาน แต่ใช้ซื้อขายสัญญาจำนวนมากจึงทำให้ได้กำไรมาก แต่นักลงทุนรายย่อยมักทำไม่ได้เพราะส่วนใหญ่เล่นตลาดเดียว อีกประการหนึ่งก็คือไม่ได้มีทุนมากจนสามารถซื้อขายสัญญาจำนวนมากได้

การทำอาร์บิทราจในสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนักลงทุนหรือกองทุนต่างก็จ้องหาตลาดและโอกาสที่จะทำอาร์บิทราจอยู่ ดังนั้นพอราคาเริ่มมีช่องนักลงทุนก็จะแห่กันเข้ามาทำอาร์บิทราจจนช่องราคาถูกปิดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้ที่ทำอาร์บิทราจจึงไม่มีใครถือสัญญานานๆ เพราะช่องจะแคบลงและปิดไปอย่างรวดเร็ว ได้นิดหน่อยก็รีบออกกันแล้ว"



วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

+++ แหล่งเรียนรู้ แลกเปลี่ยน Trading System หลากหลาย ประสบการณ์ มุมมอง จากเทรดเดอร์มืออาชีพ ...ฟรี



     ปกติก็ติดตามข่าวต่าง ๆ ของ FOREX แต่วันนี้อ่านไปมา มาเจอหัวข้อนี้ ลอง sort ดูตามที่มีคนอ่าน เยอะ ๆ แล้วแบบ สุดเจ๋งมาก ฝรั่งเขาจะมาแชร์ ประสบการณ์ ความผิดพลาด แนวคิด เทคนิค กันเยอะแยะไปหมด ...แจ่มมากเลยครับ 


+++ 15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็จ (จอห์น ซี แมกซ์เวล, How Successful People Think )

15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็จ (จอห์น ซี แมกซ์เวล, How Successful People Think )

“บุคคลที่ประสบความสำเร็จต่างๆของโลกนั้น ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน –พวกเขาคิดต่างจากคนทั่วไป”

1. คิดให้เป็นกิจวัตร  การจะเป็นนักคิดที่เก่งจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเป็นประจำ
     แดน แคธี  ซีอีโอของ Chick-fil-A แฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดังของสหรัฐ จัดเวลาให้ตนเองครึ่งวันทุกๆ 2 สัปดาห์   1 วันทุกๆ เดือน และ 2-3 วัน ทุกๆ ปี เพื่อคิดตริตรองและวางแผนในเรื่องต่างๆ

2. ใช้กฏ 80/20  นั่นคือ อุทิศ 80% ของพลังงานทั้งหมดในตัวคุณให้กับ 20% ของกิจกรรมที่สำคัญที่สุด
     จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนทุกคน ทำอะไรได้ทุกสิ่ง   หลีกเลี่ยงการทำหลายๆ กิจกรรมพร้อมกันหากมันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณลดลง

3. เปิดกว้างตนเองแก่ความเห็นที่แตกต่างและเปิดใจแก่ผู้คนหลากหลายประเภท

4.ไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ แต่การต่อยอดไอเดียนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน
     เตือนตัวเองไว้เสมอว่าไอเดียนั้นไม่มีสารกันบูด จงรีบทำอะไรกับไอเดียดีๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ก่อนที่มันจะหมดอายุไปเสีย

5. ความคิดที่ดีนั้นใช้เวลาในการสร้าง
     อย่าเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณ  ความคิดที่ดีมักจะต้องมีการปรับแต่งให้มีรูปร่างและผ่านกระบวนการทดสอบมาแล้ว

6. คนฉลาดมักจะชอบทำงานร่วมกับคนฉลาด
     การคิดร่วมกันมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคล้ายกับเป็นทางลัดให้กันและกัน  การระดมความคิดจึงเป็นวิธีการที่เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วให้กับงานต่างๆ

7. ความคิดกระแสนิยมอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุดเสมอไป
     อย่าเพียงทำตามผู้อื่นเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ใครๆ ได้ไตร่ตรองมาแล้วจึงย่อมจะดีเสมอ  ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่ากว่าใครๆ นั้นมักคิดอะไรด้วยตนเอง เขาจึงโดดเด่นจากฝูงชน

8. วางแผนหรือกลยุทธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความผิดพลาด
     ให้แตกประเด็นใหญ่เป็นส่วนย่อยๆ เพื่อแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นอย่าลืมตรวจสอบทรัพยากรและเครื่องมือต่างๆ ที่คุณมีและจัดวางมันให้เหมาะสมในการแก้ปัญหา

9. หาเวลาคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างอยู่เสมอๆ
     ลองทำอะไรในกิจวัตรประจำวันที่คุณยังไม่เคยทำมาก่อนเพื่อการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตและหามุมมองกับไอเดียความคิดที่สดใหม่

10. ความคิดคุณไม่มีทางที่จะถูกต้องเสมอไป
     ให้โอกาสกับความคิดผู้อื่นบ้าง

11. มีกำหนดการอยู่เสมอ  อย่าวางแผนเพียงวันต่อวัน
     ควรวางแผนล่วงหน้าระยะยาวให้เป็นนิสัย   คิดก่อนว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรจากใคร คนฉลาดจะไม่เข้าสู่การประชุม งานสังสรรค์ หรือการจิบกาแฟพูดคุยอย่างไร้จุดหมาย (ใช้เวลาไปสร้างสรรงานอื่นๆ ดีกว่าเสียเวลาประชุมอะไรที่ไม่มีผลผลิตที่มีค่าพอ)

12. ฝึกฝนการคิดสะท้อน (Reflective Thinking) หรือการคิดหลายแง่มุม
     นี่เป็นการคิดเป็นระบบเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ การคิดที่มาจากการไตร่ตรองแล้วจะทำให้คุณมีความมั่นใจในการตัดสินใจ

13. หลีกเลี่ยงการพูดแง่ลบกับตนเอง จงคิดว่าคุณสามารถทำได้  และคุณจะทำ
     คนฉลาดจะไม่เห็นข้อจำกัดต่างๆ แต่ในทางกลับกันเขาจะเห็นโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมา

14. มีความคิดสร้างสรร 
     อุทิศเวลาให้กับการค้นหาไอเดียใหม่ๆ  อย่าไปกลัวความคลุมเครือและความล้มเหลวในเรื่องต่างๆ

15. อย่ามองโลกในแง่บวกไปเสียทุกเรื่อง
     ต้องคิดให้สมเหตุสมผล  และยอมรับความเป็นจริง  คิดวิเคราะห์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ลืมที่จะวางแผนบนพื้นฐานของทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่

          ท้ายที่สุดนั้น อย่าลืมว่าคุณสามารถเปลี่ยนแนวคิดของคุณได้  การเรียนรู้กระบวนการคิดที่ถูกต้องจะทำให้คุณเป็นคนที่คิดอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณสามารถสร้างวินัยในการการคิด มันจะเป็นนิสัยที่ติดตัวคุณไปตลอด และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิต


สรุปความโดย กร ดุรงคเวโรจน์ นักวิเคราะห์  บลจ.บัวหลวง
ข้อมูลจากเว็บไซต์กองทุนบัวหลวง www.bblam.co.th
เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2556

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

+++ จาก Kzm มุ่งหน้าสู่ True Alpha from # MudleyGroup K. ต้าน

จาก Kzm มุ่งหน้าสู่ True Alpha from # MudleyGroup K. ต้าน 

True Alpha คืออะไร  คือหลักการที่เฮดจ์ฟันพวกที่ไม่เคยเจ๊งมาก่อนในประวัติศาสตร์นำมาใช้ ที่ผมเน้นคำว่าไม่เคยเจ๊งมาก่อนหมายความว่าอย่างไร ในโลกของเฮดจ์ฟันจะมี concept อยุ่ 2 แนวทาง คือพวกที่เชื่อในเรื่องของการตามล่าหา Return หรือผลตอบที่มากกว่าหรือชนะตลาด  กับ อีกพวกหนึ่งคือพวกที่ตามหาความเป็นอมตะของเงินทุนตัวเอง หรือ เรียกง่ายๆตามภาษาชาวบ้านคือการไม่มีต้นทุนในการลงทุน (True alpha หรือ Absolute Return นั่นเอง)

ซึ่งหลักการนี้ได้มีการนำมาใช้นานแล้ว โดยผู้ที่เริ่มพัฒนาต่อยอดแรกๆมีหลายๆ คนที่ดังๆคือ  
Ray Dalio , Jame simon , Soros ,Warren buffet เป็นต้น  

การจะเข้าถึง True Alpha นั้นเราต้องมีความเข้าใจในเรื่องการสร้างพอร์ตอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าเฮดจ์ฟันประเภท True alpha จะยอมเสียเวลาในช่วงแรกๆไปในการพยามสร้างโครงสร้าง portfolio ในการเอื้อสู่ภาวะ true alpha นั่นเอง

Portfolio Management ในการทำ True alpha นั้นจะต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ผมขอยกตัวสมการของ Ray Dalio มาเพื่ออธิบายให้เข้าใจนะครับ
Return = Cash + Beta +Alpha 

โดยทางเฮดจ์ฟันสาย True alpha จะเชื่อว่าหากเราจะมีผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้พอร์ตของเราต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนในสมการข้างต้นครับ  

ผมจะค่อยๆกล่าวทีล่ะตัวนะครับ
Cash  = คือเงินสด หรือ สิ่งเทียบเท่าเงินสด ที่พร้อมจะสามารถเคลื่อนย้ายไปในการลงทุนตลอดเวลา หรือ เกือบทันทีเมื่อมีโอกาส ดังนั้นหากใครที่ cash น้อยมากๆ ก็จะทำให้เสียโอกาสเมื่อมีเหตุการณ์ผิดความคาดหมายเกิดขึ้นในตลาด

Beta = ต้องบอกก่อนเลยว่า มันไม่เหมือนกับตำราราที่เราเรียนด้านการเงินนะครับ เพราะ Hedge fund ประเภท true alpha จะใช้พอร์ตตัวเอง เป็น benchmark เสมอ เค้าไม่สนใจเหมือนกองทุนทั่วๆไปหรอกว่าคุณจะเทียบกับอะไร เทียบกับ index หรือ อะไรก็ตาม พวกกองทุน true alpha จะเทียบกับพอร์ตตัวเองเสมอ กล่าวคือ ใช้พอร์ตตัวเองคือ index หรือ เอาพอรืตตัวเองเป็นหลัก ดังนั้น beta ในที่นี้คือ ค่าความผันผวนที่คุณเก็บมาได้จากในตลาด หรือ cash flow ที่คุณหาได้นั่นเอง ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตามที่คุณใช้ล่าในส่วนต่างทุน  เช่น Technical Analysis ,Kzm ,Dsm ดังนั้นเราจะเห็นว่าบ้านเราส่วนมากจะเน้นแต่วิธีการหา beta ไม่ได้มีการเน้นสร้างหรือพัฒนาตัว alpha ซึ่งผมจะพูดถึงต่อไปในอนาคต ดังนั้น หากคุณมีแต่ beta  ประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตของคุณก็จะน้อยมากๆ

Alpha = คือการฝังตัวอ่อนการลงทุนในสิ่งที่ Value นั้นมันแตกต่างจากมุลค่าเหมาะสมในการแลกเปลี่ยนสินค้านั้นๆ ดังนั้น Alpha จะต้องฝังใน product ที่มีค่าความกลัวมากๆ หรือ มีค่าความโลภมากๆ  และ product เหล่านี้โอกาสเป็น 0 น้อยมากๆ  เช่น index หรือ commodities   หรือ หุ้น under value ที่เรารุ้จักกิจการเหล่านั้นเป็นอย่างดี ดังนั้น เราจะเห็นว่า Value investor จะเน้นแนวทางนี้เป้นหลักก็คือแนวทางของ alpha ซึ่งไม่ต้องตกใจว่าทำไม Vi ถึง ตกับนักเทคนิคบ่อยๆ เพราะสองคนต่างเชื่อในคนล่ะส่วนของ portfolio management นั่นเอง แต่ถ้าเราเปิดใจจะเห้นว่า buffet ปิดจุดอ่อนของตัวเองโดยการหา beta จากการ short put derivative  ถึงทำให้ Growth ของเขาพัฒนาไปได้ดีกว่าคนอื่นที่เป็น Vi แต่ไม่สนใจ Beta เลยเป็นต้น ดังนั้น หากเราไม่สนใจ beta คนที่จะเป็น Vi ก้ต้องอดทน หรือไม่ก็ต้องมีเงินในระดับหนึ่งที่เรียกว่าปันผลหล่อเลี้ยงตัวเองได้ เพื่อรอวันที่ alpha จะ pay off เป็นต้นครับ 

นี้การสร้าง portfolio แบบนี้จะทำแบบไหน โดยมากสูตร basic เราจะเน้นที่
50 Cash :  40 Beta : 10 Alpha

ดังนั้นหากคนที่เข้าใจ kzm หรือ ระบบปกป้องทุนอื่นๆที่ดีพอ ก็จะสามารถรักษาสัดส่วน 40% ตรงนั้นได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเลย ซึ่งพอได้ cash flow จากระบบ beta แล้วเราจะแบ่งส่วนเข้าสุ่ alpha หรือ ขยับขยาย bata ก็จะง่าย
ทีนี้มาดู alpha เนื่องจาก concept เราจะเลือกที่สิ่งที่คนกลัว หรือ โลภ เพื่อให้ได้ราคาดีๆ ดังนั้น จำนวนการลงทุนเราจะพยามเริ่มต้นที่น้อยๆ เช่น 10% ซึ่งหากเราคิดผิดขาดทุนอย่างมากคือ 10% ของพอร์ตโดยรวม และ ยิ่งถ้าเรารุ้จัก product นั้นดีพอ หรือ product ที่ไม่เป็น 0 โอกาสขาดทุน 5% ของพอร์ตโดยรวมก็ยากแล้ว เพราะนั้นหมายความว่า product alpha ที่เราเลือกต้องลงต่อจากจุดที่เราคิดว่าน่ากลัวมากๆแล้วไปอีก 50% เป็นต้น


ทีนี้เมื่อเราลง alpha ไปแล้วแน่นอน หากมันขาดทุนเราจะต้องเอา cash flow จาก bata มาโปะให้ได้ ซึ่งหาก beta โปะไม่ทัน ก็เป็นหน้าที่ของ cash นั่นเอง โดยที่เราจะต้องพยามโปะให้สัดส่วน value ของเราทำกับ 10% เหมือนเดิมที่เราลงทุนไปตอนแรก ดังนั้นปริมาณหุ้นหรือ asset ของเราจะเพิ่มขึ้น และถ้าเราดึง beta มาเพียงพอต่อการทำให้ต้นทุนของเราเป็น 0 ได้ก็เท่ากับเราได้ true alpha product มาแล้ว 1 ตัวเป็นต้นครับ แล้วเราจะไล่หาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมี product มากมายนับไม่ถ้วนครับ น่คือ หลักการง่ายๆของเฮดจ์ฟันที่เก่งๆในปัจจุบันนี้ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเค้าไม่สนใจ Nav เลยว่าจะติดลบยังไง แต่ปริมาณเงินและ asset ของพวกนี้กลับเติบโตขึ้นทุกวัน เพราะ เค้ามีระบบต้นทุนของเค้าอีกแบบครับ  หวังว่าจะเป็นไอเดียได้นะครับ ไว้โอกาสหน้ามีเวลาจะเข้ามาพิมพ์เรื่องอื่นๆอีกครับ ขอบคุณมากครับ 

ตัวอย่างจริงสไตล์ Mudley Group ระหว่างที่ทุกคนกำลังกลัว ถ้าเรามี alpha และมีการทำการบ้านอย่างดี เราสามารถใช้เหตุการณ์เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์กับการสร้างพอร์ตของเราได้ ซึ่งโดยราคาปัจจุบันผมก็แค่ดึงกำไรมาลงทุนเป็น true alpha ได้โดยไม่ต้องห่าวต้นทุนอีกต่อไปเป็นต้นครับ ดังนั้นไม่ว่าราคา asset จะเหลือเท่าไร ก้ไม่มีผลกับเราอีกต่อไป หน้าที่ของเราก็แค่หาตัว alpha ตัวใหม่สร้างเพิ่มไปเรื่อยๆครับ 


วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

+++ COG ที่ดูแล้วน่าสนใจ สำหรับ MT4 (FOREX)

ผมเลือก COG ที่ดูแล้วน่าสนใจ มาแชร์นะ ใครสนใจลองเอาไปลอง ถ้าไงลองแล้วรบกวนมาแชร์หน่อยว่าตัวไหน ดีไม่ดียังไง ตัวไหน repaint บ้างนะ 

http://www.mediafire.com/download/j9qr81c4dji6dtr/ download จากนี่ได้เลย

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

+++ SWAP ของ FOREX คืออะไร ?

SWAP อ่านว่า สวอป 
Credit : แกะดำให้เทรด

เนื่องจากว่ามีคนถามกันมา ว่ามันคืออะไร เอามาจากไหน (ใน Forex) วันนี้ พี่แกะดำ ก็เลยจะมาอธิบายถึงความหมาย และการทำงาน ของเจ้า สวอป (swap) ตัวนี้ให้ฟัง อย่างคร่าวๆ ตามสไตล์ @แกะดำหัดเทรด นะจ๊ะ

สวอป (swap) หรือบางที่อาจจะใช้คำว่า "Rollover" มันก็คือดอกเบี้ยที่จ่ายไปเพื่อรักษา position ที่เปิดข้ามคืนไว้ ง่ายๆ สั้นๆ ก็ดอกเบี้ยข้ามคืนละจ๊ะ เนื่องจากว่า เงินตราแต่ละสกุลในโลกมันมีอัตราดอกเบี้ยเชื่อมต่อมาด้วย และในขณะเดียวกัน เงินตราต่างประเทศเค้าก็ซื้อขายกันเป็นคู่ (euro + dollar usd = EurUsd) ดังนั้นธุรกรรมทุกรายการจึงไม่เพียงแต่เกี่ยวเนื่องกับสกุลเงินทั้งสองเท่านั้น แต่มันจะไปเกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย (interest rate) ที่มีมูลค่าแตกต่างกันทั้งสองฝั่งด้วย 

แล้วถามว่า เค้ามีหลักการคิดอย่างไร?

โดยปกติ ถ้าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่เราซื้อ มีมูลค่าสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่เราทำการขาย เราก็จะได้รับค่า สวอป หรือ rollover เป็นบวก (positive roll) แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่เราซื้อต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินที่เราขาย เราก็จะต้องกลายเป็นฝ่ายที่จ่ายค่าสวอป แทน (negative roll) 

ทั้งนี้ การคิดเทียบค่าสวอป ให้ยึดสกุลเงินตัวหน้าเป็นตัวหลัก ที่เราทำรายการ เทียบกับสกุลเงินตัวหลัง

มาดูตัวอย่างวิธีคิดกัน

สมมติว่าเรากำลังซื้อ (buy) คู่สกุลเงิน EurUsd นั่นหมายความว่า เรากำลังซื้อ ยูโร แล้วขายดอลล่าร์สหรัฐฯ ดังนั้น หาก ณ เวลาที่เราทำรายการ อัตราดอกเบี้ย ของสกุลเงินยูโร อยู่ที่ 1.00% และอัตราดอกเบี้ยของดอลล่าร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 0.25% แสดงว่า เรากำลังซื้อสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ดังนั้น เราก็จะได้รับค่า สวอป ประมาณ 0.75% ต่อปี และในทางกลับกัน ถ้าเราขาย (sell) คู่เงิน EurUsd ก็จะกลายเป็นว่า เรากำลังขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ดังนั้น เราจึงต้องกลายเป็นคนที่จ่ายค่าสวอป ประมาณ 0.75% ต่อปี แทน เพราะเรากำลังจ่ายอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินยูโร และได้รับอัตราดอกเบี้ยของดอลล่าร์สหรัฐฯ

แล้วเริ่มคิด Swap กันตอนไหน?

การเริ่มต้น และสิ้นสุดวันของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ จะกำหนดไว้ที่ 10 PM.(GMT) ทั้งนี้เวลา อาจจะคลาดเคลื่อนได้ ขึ้นอยู่กับ server ของแต่ละโบรคเกอร์ โดย position ใดก็ตาม ที่เปิดก่อนเวลา 10 PM. จะถูกนำมาคิดค่าสวอป แต่หากเปิด ตั้งแต่เวลา 10.01 PM. เป็นต้นไป จะยังไม่ถูกนำมาคิดค่าสวอป จนกว่าจะถึงวันถัดไป สิ่งหนึ่งที่เราต้องพึงระวัง และรับทราบไว้ ก็คือ ปกติแล้ว วันเสาร์-อาทิตย์ ธนาคารส่วนใหญ่ทั่วโลก จะปิดทำการ เค้าจึงไม่คิดดอกเบี้ยกัน แต่เค้าจะไปคิดล่วงหน้าไว้ ตั้งแต่วันพูธแทน จึงทำให้ ค่าสวอปของคืนวันพุธ มีค่ามากกว่าปกติถึง 3 เท่า และขณะเดียวกัน วิธีคิดล่วงหน้าหลายเท่านี้ อาจจะถูกนำไปใช้ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วยก็ได้ ซึ่งตรงนี้ควรจะเปิดศึกษารายละเอียดในแต่ละโบรคเกอร์ให้ดี

และที่สำคัญ หากเราสังเกตดูดีๆ เราจะพบว่า ค่า swap ของแต่ละโบรคเกอร์อาจจจะมีค่าไม่เท่ากัน เพราะโบรคเกอร์ก็เปรียบสเมือนตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างคู่ค้าสองคนให้มาทำรายการซื้อ-ขายกัน (ตลาด) ดังนั้น เค้าจึงคิดค่าบริการ โดยนำไปรวมไว้ในค่า สวอป ของทั้ง 2 ฝั่ง นั่นเอง 

ดังนั้น เพื่อความชัดเจนในรายละเอียด เราจึงควรเข้าไปอ่าน และศีกษารายละเอียดข้อตกลง ของแต่ละโบรคเกอร์ให้ดี ก่อนที่จะเปิดบัญชีซื้อ-ขาย นะจ๊ะ

cr แกะดำให้เทรด