วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

+++สรุปความแตกต่างระหว่าง MT4 กับ MT5 ว่ามีอะไรยังไงบ้าง



สรุปความแตกต่างระหว่าง MT4 กับ MT5 ว่ามีอะไรยังไงบ้าง ข้อมูลจากหลากหลายเว็บไซต์

ลำดับ
หัวข้อ
MT4
MT5
1

การติดตั้ง
มีระบบติดต่อกับโบรกเกอร์โดยตรงและง่าย ต้องการ รหัสที่อยู่ของ Server ในการเปิดบัญชี ระหว่างการติดตั้ง
เซิร์ฟเวอร์ Metaquotes trading ในปัจจุบัน มีการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ในการเปิดบัญชีในระหว่างการติดตั้งไว้ให้แล้ว แต่การส่ง ping ไปยังเซิร์ฟเวอร์ยังคงมีปัญหาเป็นบางครั้ง
สามารถเพิ่มเซิร์ฟเวอร์โดยเฉพาะสำหรับบัญชี Demo ได้โดยไม่มีปัญหา
2
จำนวนหน้าจอ/Timefreame
9 Timeframe
21 Timeframe ตั้งแต่เวลา 1 นาที จนถึง 1 เดือน พร้อมไม่จำกัดจำนวนหน้าจอที่ใช้ได้
สามารถสั่งงานได้ถึง 100 หน้าจอพร้อมกัน
3
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
(การเทรดตามข่าว)
ไม่มีตารางข่าว
มีการแบ่งหมวดหมู่ตารางข่าวออกเป็นแท็บต่างๆ พร้อม รายละเอียดข่าว, เวลา, ความรุนแรงของผลกระทบ, Forecast, เปรียบเทียบข้อมูลเก่า และอื่นๆอีกมากมาย
4
การภาณิชย์/การตลาด
ไม่มีการเชื่อมโยงการซื้อขายเพิ่มเติมเข้าไปในโปรแกรม คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ เว็บ MQL4.com ในการซื้อขาย ต่างๆ
คุณสามารถทำการซื้อขาย ผลิตภัณฑ์ทาง Forex ต่างๆ ภายในโปรแกรมได้ทันที ผ่าน แท็บ Market
5
อินดิเคเตอร์ และการวิเคราะห์เชิงวัตถุ
มีอินดิเคเตอร์ ติดมากับโปรแกรม 30 ตัว
มีอินดิเคเตอร์ ติดมากับโปรแกรม 38 ตัว, มีอินดิเคเตอร์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก,มีอินดิเคเตอร์ที่เป็นวัตถุแสดงผลเพิ่มขึ้น 22 ตัว และอินดิเคเตอร์แสดงผลเป็นกราฟฟิก เพิ่มขึ้น 46 ตัว
6
การสั่ง ออเดอร์
วางได้ทีละ 2 ออเดอร์ และอีก 4 Pending Order
วางได้ทีละ 2 ออเดอร์ ,4 Pending Order และ 2 Stop Order
7
Expert Advisor
มีโปรแกรม MT4 Editor & Strategy Tester มาพร้อมกับโปรแกรม EA ถูกออกแบบด้วย ภาษา MQL และสามารถทำการคอมไพล์ได้รวดเร็ว ไม่สามารถนำโค้ดของ EA MT4  ไปแปลงเป็น MT5 ได้ ดังนั้น EA ของ MT4 จึงไม่สามารถนำไปใช้งานกับ MT5 ได้
มีโปรแกรม MT5 Editor ซึ่งมีการพัฒนา Strategy Tester - มีระบบ Strategy Tester Agent Manager สำหรับการปรับแต่ง EA จากภายนอกได้ และคุณสมบัติอื่นๆอีกมากมาย - EA ถูกออกแบบด้วยภาษา C++ ทำให้มันทำการคอมไพล์ได้ช้าลง
8
อินเตอร์เฟซ
ง่ายต่อการแก้ไขให้เหมาะต่อการใช้งาน , ระบบ One Click Trading และ Drag & Drop มีให้ใช้งานเฉาพะ MT4 Build 500 เท่านั้น
มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการออกแบบอินเตอร์เฟซ , มีการเพิ่มกล่องค้นหา, แท็บข้อมูลเพิ่มเติมบนหน้าต่าง Market Watch , มีระบบ One Click Trading และ Drag & Drop และอื่นๆ อีกมากมาย
9
การรองรับเทคนิคการเทรด
ยอมรับเทคนิคการเทรดทุกรูปแบบ แต่อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ก็ยังมีกฏข้อบังคับ ไม่ให้มีการใช้งานเทคนิคบางอย่างได้
ไม่รองรับการ Hedging และ ทำตามข้อกำหนด FIFO ตามการตั้งค่าปกติ
10
โบรเกอร์
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงรองรับ MT4 มากกว่า MT5
ถ้าเทียบกับ MT4 แล้ว ยังมีโบรกเกอร์ที่รองรับจำนวนน้อยกว่ามาก

มีเหตุผลง่ายๆหลายอย่างว่าทำไม โบรกเกอร์จำนวนมากยังคงไม่เปลี่ยนมารองรับ MT5
1. EA ที่ทำงานบน MT4 ใช้งานไม่ได้กับ MT5 และไม่สามารถทำการแปลงมาใช้บน MT5 ได้เลย  เมื่อรู้แบบนี้แล้วคนที่ใช้ EA อยู่คงเกิดคำถามว่า เฮ่ย !! ผมซื้อ EA มาตั้งแพง ลงทุนลงแรงมาตั้งเยอะ ทำไมใช้ไม่ได้ล่ะ  และมีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะใช้ได้ ก็คือการเขียน EA ขึ้นใหม่ทั้งหมดในภาษา C++

2. บอกลาวิชา Hedging และ Scalping ไปได้เลย (ตามกฎ FIFO) MT5 มีความเข้มงวดด้านกฎระเบียบ ในการทำให้ตัวเองเป็นโปรแกรมมาตรฐานมากขึ้น ทำตามกฎ NFA ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ควรเลย

                ด้วยเหตุผล 2 อย่างนี้ ทำให้ทั้งผู้ใช้และโบรกเกอร์เซ็งไปตามๆกัน และเข้าใจว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ MQL (MT4) พัฒนาคุณสมบัติบางอย่างของ MT5 ให้ MT4 ใช้งานได้เช่น ระบบ One Click Trading, Drag & Drop, Signal Tab, Code Base และอื่นๆ ลงไปใน MT Build 500 ซึ่งเป็น MT4 เวอร์ชั่นล่าสุดนั่นเอง
                ทั้งนี้ก็มีความชัดเจนว่าพวกเขาเน้นทั้งกำลัง และข้อมูลส่วนใหญ่ไปที่ระบบชุมชนของ MQL5 และเพิ่มระบบรองรับอีกมากมายที่คุณจะไม่สามารถหาได้ในระบบชุมชนของ MT4 ได้เลย เพื่อเป็นการโน้วน้าวแกมบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก MQL4 มาใช้ MQL5 แทน


ข้อดีของ MT5
  • มีการพัฒนาประสิทธิภาพและความรวดเร็ว
  • รูปแบบหน้าจอ 3 ชนิด  Timeframe 21 แบบ และ เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 70 ชิ้น
  • สามารถเทรดในตลาดที่แตกต่างกันได้  - Options, Futures, Stocks, Forex
  • มีหน้าเครื่องมือที่ซับซ้อนในการรายงานผลการเทรดทั้งหมด
  • มีข้อมูลหลากหลายชนิดมากขึ้น และง่ายต่อการทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ เช่นโปรแกรมที่พัฒนาโดยภาษา C++
  • มีออเดอร์ 4 ชนิด ที่แตกต่างกัน พร้อมระบบ จัดการออเดอร์ 4 รูปแบบ

ทำความเข้าใจกับหน้าจอ
                MT5 สามารถทำการปรับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าจอต่างๆได้ โดนขึ้นอยู่กับความต้องการ และลักษณะนิสัยของเทรดเดอร์ ในการใช้งานชั่วคราวคุณสามารถตั้งค่า สีของกราฟต่างๆ หรือวัตถุต่างๆ บนหน้าจอได้เพื่อทำให้มองเห็นข้อมูลต่างๆได้อย่างชัดเจน ถนัดตามากขึ้น  พร้อมระบบ Template ที่คุณสามารถทำการบันทึกการตั้งค่าต่างๆ ที่คุณแก้ไขไปแล้วได้ทันที และเมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการใช้รูปแบบนั้นๆ ก็เพียงแค่เรียกใช้ขึ้นมาเท่านั้น
                MT5 มีบริเวณให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นราคาตามเวลาจริงได้ทันที ทำให้สามารถวางแผนแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที  รองรับรูปแบบกราฟ 3 ชนิด Japanese Candlesticks, Sequence of Bars และ Line
                Candlesticks และ Bars จะให้ข้อมูลครบถ้วนทั้งราคาสูงสุดและต่ำสุด รวมถึงราคาเปิดและราคาปิดด้วย ส่วน Line นั้นมีข้อบกพร่องบางประการเพราะมันไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งหมดของราคาตลาด และเงื่อนไขในขณะนั้น ซึ่งจะทำให้ยากสำหรับผู้เริ่มต้นในการหาเทรนด์ตลาด


Comparison MetaTrader 5 Vs MetaTrader 4 

มันจำเป็นที่เราจะต้องทำการเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองโปรแกรมนี้ เพื่อให้เราทำการเทรดให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด
                เครื่องมือในการวิเคราะห์ - MT5 มีเครื่องมือวิเคราะห์ถึง 79 แบบ และมี Timeframe 21 แบบ ซึ่งทำให้มันสามารถเปิดกราฟราคาได้ถึง 100 กราฟด้วยกัน ในขณะที่ MT4 มีเพียง 9 Timeframe ในการเทรดผลิตภัณฑ์ต่างๆ และมี อินดิเคเตอร์ 50 ตัวในการวิเคราะห์เทรนด์, จุดเข้าเทรด และจุดปิดการเทรด

                การส่งคำสั่งเทรด - MT4 รองรับรูปแบบการส่งคำสั่งเพียง 3 รูปแบบ นั่นคือ Instant, Market และ Request ในขณะที่ MT5 รองรับถึง 4 รูปแบบด้วยกัน - Instant, Market, Request และ Exchange Execution และทั้ง 2 โปรแกรมรองรับชนิด ออเดอร์ 3 แบบ เช่นกันนั่นคือ Market, Pending และ Stop Orders

                ความเข้ากันได้ - MetaQuotes ได้ประกาศออกมาว่า มันจะไม่มีความเชื่อมต่อกันระหว่าง MT4  และ MT5 นี่เป็นผลพวงมาจากการพัฒนาภาษาโปรแกรมใน MT5 เพื่อผลลัพท์ด้านความรวดเร็วในการทำงาน ดังนั้น EA ของ MT4 (.mq4 และ .ex4) จะไม่สามารถทำการรันบน MT5 ได้ การคอมไพล์ไฟล์ของ MT4 นั้นทำได้รวดเร็วแทบจะกระพริบตาเดียว ในขณะที่ MT5 รู้สึกราวกับว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนานเลยทีเดียว

                การจัดการการซื้อ/ขาย - เพื่อเคารพกฎของ National Futures Association และ กฎของยุโรป MT5 ได้ทำการออกแบบให้ทำการเทรด ได้เพียง 1 ออเดอร์ต่อการซื้อหรือขายเท่านั้น สำหรับหุ้นใดหุ้นหนึ่ง หรือ คู่เงินใดคู่เงินหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้การ Hedging นั้นไม่สามารถใช้งานได้บน MT5 ตัวอย่าง 10.00 น. ซื้อ EURUSD 1 lot ที่ราคา 1.2000 และหลังจากนั้น 14.00 น. ซื้อ EURUSD 2 lot ที่ราคา 1.300

                อินเตอร์เฟสและกราฟราคา - MT 5 มีขนาดไอคอนใหญ่กว่าเดิม และมีการจัดวางระยะห่างที่เหมาะสม ถ้าเทียบกับ การออกแบบ แบบอัดแน่นของ MT4 ทำให้ MT5 นั้นออกมาหน้าตาดูดีกว่า MT4 มากทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันมันก็ ใช้ RAM และ CPU มากกว่าเดิม

                Backtesting - การใช้งานใน MT4 ไม่ค่อยให้ประโยชน์มากเท่าไรนักซึ่งก็เป็นจุดอ่อนหนึ่ง ในขณะที่ MT5 Backtesting นั้นต้องการให้มีการปรับแต่งแก้ไขจำนวนมาก ก่อนที่จะเริ่มทำการ Testing


สรุป
                การที่คุณจะเลือกใช้อะไรนั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง แต่อย่างน้อยคุณก็ได้รู้จุดแตกต่างระหว่าง 2 เวอร์ชั่นนี้แล้ว และผมเองก็หวังว่าข้อเสียต่างๆของ MT5 จะถูกกำจัดออกไปหลังจากนี้ รวมถึง ปลั๊กอิน ต่างๆที่จะทำให้การเทรดทำงานได้ดีขึ้นกว่านี้

อินเตอร์เฟสและกราฟราคา
                ใน MT5 ปุ่มต่างๆ ใหญ่ขึ้น และมีพื้นที่ในการกดมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็หมายความว่า มันทำให้พื้นที่ของหน้าต่างกราฟราคาเล็กลงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับ MT4 อีกทั้งยังมีเสียงบ่นมาจากผู้ใช้ Fibonacci Retracement ว่ามันทำงานได้มีความแม่นยำน้อยลงกว่าเดิม

                กราฟราคาของ MT5 นั้นมีความแตกต่างไม่มากนักจาก MT4 มีเพียงเรื่อง Timeframe เท่านั้นที่แตกต่างกัน โดยการเพิ่ม Timeframe ระหว่างกลางของ Timeframe M1, M5, M15, M30, H1, H4, D1, W1 และ MN ทำให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงระยะเวลาต่างๆได้มากขึ้นกว่าเดิมในการเทรด

                อีกทั้ง MT5 ยังสามารถจัดการหลายบัญชีได้ภายในตัวเอง ด้วย Account Navigator ที่ให้เทรดเดอร์ทำการสลับเปลี่ยนระหว่างบัญชีได้ง่ายดาย อีกทั้งยังยอมให้เทรดเดอร์ใช้แผนการเทรดได้หลากหลายแผนการในหลากหลายบัญชี – ซึ่งระบบนี้อาจจะเป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับเทรดเดอร์ระดับสูง

Hedging
                ข้อเสียใหญ่ข้อหนึ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับ MT5 ก็คือ มันไม่รองรับการเทรดแบบ Hedging และ Multi-Hedging ซึ่งจริงๆแล้ว เงื่อนไขในการ Hedge นั้น เป็นข้อหนึ่งเช่นกันที่เทรดเดอร์หลายคนพยายามค้นหาและตัดสินใจเลือกที่จะใช้ โปรแกรมนั้นๆ ในการเทรด - มีหลายคนเช่นกันที่ออกมาแก้ไขด้วยการใช้ ปลั๊กอินเข้าช่วย เพื่อให้ MT5 สามารถทำการ Hedging ได้ ในขณะที่นี่อาจจะพอมีทางออกจากข้อนี้ได้บ้าง แต่คนส่วนมากก็ยังเลือกที่จะไม่ใช้มันซะมากกว่า

Indicators
                ในขณะที่ MT4 สามารถรองรับอินดิเคเตอร์ได้หลากหลาย และสามารถให้ผู้ใช้ทำการปรับแต่งแก้ไข อินดิเคเตอร์ได้เอง MT5 นั้น กลับยิ่งดีกว่าเดิมเสียอีก ด้วยการแนะนำอินดิเคเตอร์ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม เช่น Variable Index Dynamic Average, the Fractal Adaptive Moving Average, the Adaptive Moving Average และ Double and Triple Exponential Moving Average's อีกทั้งยังมีอินดิเคเตอร์ระดับสูง ที่จะมอบความสามารถในการมองเห็นโอกาสในการเทรดที่กว้างมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และมีข้อควรทราบด้วยว่า MT5 นั้น ได้ทำการปรับการแบ่งหมวดหมู่การใช้งานของ EA เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ สิ่งที่พวกเข้าต้องการได้ง่ายขึ้น

ความเข้ากันได้
                เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ MT5 ได้รับความนิยมยังไม่เป็นวงกว้างมากนักนั่นเพราะว่า EA และการเขียนโปรแกรมใน MT4 นั้นไม่สามารถนำมาใช้กับ MT5 ได้เลย นั่นหมายถึง EA และ Indicator จำนวนมากที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจะไม่สามารถนำมาใช้กับ MT5 ได้โดยสิ้นเชิง แต่ทั้งนี้มันก็สามารถทำการเขียนโค้ดขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานกับ MT5 ได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ยังไม่มีระบบอัติโนมัติใดๆ รองรับการทำงานตรงนี้ นั่นหมายถึงว่า ผู้ที่ต้องการใช้ EA ของ MT4 มาใช้กับ MT5 จะต้องทำการเขียนโค้ดด้วยตัวเองขึ้นใหม่ทั้งหมด - และเนื่องจากระบบการเทรดอัตโนมัตินั้นเป็นส่วนสำคัญข้อหนึ่งของ Metatrader มันคงจำเป็นจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่ MT5 จะมี EA และ Indicators รองรับเพียงพอที่จะทำให้ผู้ใช้ MT4 เริ่มสนใจ มันมากขึ้น

Computing Power
                มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้กำลังของคอมพิวเตอร์ในการเปิดใช้งานโปรแกรม MT4 นั้น มีความต้องการใช้ RAM น้อยกว่า ในขณะที่ MT5 ต้องการใช้ RAM มากกว่าถึง 3 เท่าตัว แต่อย่างไรก็ตามมันไม่เป็นปัญหาเท่าไรนักหากคุณใช้คอมพิวเตอร์รุ่นที่ยังใหม่อยู่ สัก 2-3 ปี แต่หากเก่ากว่านั้นแล้วล่ะก็ คุณจะได้เจอปัญหากับการใช้งาน MT5 แน่นอน

ความต้องการสเปกคอมพิวเตอร์
                มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้กำลังของคอมพิวเตอร์ในการเปิดใช้งานโปรแกรม MT4 นั้น มีความต้องการใช้ RAM น้อยกว่า ในขณะที่ MT5 ต้องการใช้ RAM มากกว่าถึง 3 เท่าตัว แต่อย่างไรก็ตามมันไม่เป็นปัญหาเท่าไรนักหากคุณใช้คอมพิวเตอร์รุ่นที่ยังใหม่อยู่ สัก 2-3 ปี แต่หากเก่ากว่านั้นแล้วล่ะก็ คุณจะได้เจอปัญหากับการใช้งาน MT5 แน่นอน

สรุป
                ในขณะที่ MT5 เพิ่มคุณสมบัติของตัวเองขึ้นมากกว่า MT4 แต่ก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากยังไม่ยอมเปลี่ยนมาใช้ นั่นเพราะการที่ MT5 ยังมีปริมาณของ EA ที่ยังน้อยกว่ามาก เนื่องจากระบบการเทรดโดยอัตโนมัตินั้นก็เป็นเหตุผลหลัก อย่างหนึ่งเช่นกันที่ทำให้คนนิยมใช้งาน Metatrader และยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่ยังคงชอบการใช้งานของ MT4 อยู่ อีกทั้งยังมีเหตุผลเรื่องของการเทรดแบบ Hedge โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ส่วนเสริมใดๆ เพิ่ม แต่หากคุณไม่ได้ประสบกับปัญหาเหล่านี้ แล้วล่ะก็ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คุณจะยังจำเป็นต้องใช้ MT4 อยู่


MT4
MT5
ฟังก์ชั่น
1. ติดตั้งง่าย
2. เทรดเดอร์สามารถหาโหลด อินดิเคเตอร์ MT4 มาใช้ในโปรแกรมได้
3. MT4 รองรับการขยายแบบต่อเนื่องได้
1. มี Timeframe 21 แบบ ในการใช้วิเคราะห์
2. มาพร้อมกับ อินดิเคเตอร์ 38 แบบ
3. สามารถขยายได้แค่ 4 แบบ
ความยืดหยุ่น
ด้วย MAM - MT4 สามารถเข้าถึงบัญชีหลายบัญชี และทำการจัดการได้
MT5 สามารถจัดการบัญชีหลายบัญชีได้
กราฟฟิก
อินดิเคเตอร์ของ MT4 เข้าใจได้ง่ายกว่า
ปุ่มและไอคอนต่างๆ ใหญ่มาก และนั่นทำให้การทำงานช้าลง
ความเร็ว
ช้ากว่าเล็กน้อย
เร็วกว่า
ความสามารถในการเข้าถึง
มีผลิตภัณฑ์ Forex น้อยกว่า MT5
รองรับการซื้อขายหลากหลายผลิตภัณฑ์ รวมถึง หุ้น และ options ด้วย

แปลและเรียบเรียงโดยwww.rattanasak.com

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

+++ 24 เคล็ดลับของปู่บัฟเฟต์ในตลาดหุ้น

24 เคล็ดลับของปู่บัฟเฟต์ในตลาดหุ้น

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน

บัฟเฟตต์ แนะนำว่า “เมื่อลงทุน ควรคำนึงถึง … ความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน” จำไว้ว่า ความยากไม่มีในการลงทุน มองหาบริษัทที่มีประวัติยาวนาน และสามารถคาดเดาอนาคตของธุรกิจได้ ถ้าคุณไม่เข้าใจธุรกิจ … ก็อย่าซื้อหุ้น

2. ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง

อย่าเชื่อโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ หรือผู้รู้ …จงเชื่อตัวคุณเอง เมื่อคุณพบที่ปรึกษาทางการลงทุนหรือนักลงทุนมืออาชีพ จงถามว่า “พวกคุณจะได้อะไรจากผม ???” ถ้าคำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจ คุณก็ควรจะเดินหนีไปซะ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าพิสูจน์แล้วว่า จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระยะยาว

3. จงมีสติ

บัฟเฟตต์แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่น ๆ ตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้ว เมื่อมันสงบ … คุณจะได้ประโยชน์จากมัน อย่าคิดจะเป็นเจ้าของหุ้น ... ถ้ามันจะทำให้คุณตื่นตระหนก และขายหุ้นของคุณเมื่อราคาตกลง 50%

นอกจากนั้น บัฟเฟตต์ยังมีข้อแนะนำเมื่อ ... หุ้นตก คำแนะนำ 3 ข้อ ในยามที่ ... ตลาดหุ้นตก คือ ข้อที่ 1 เกาะติดอยู่กับบริษัทที่ดี ข้อที่ 2 รู้จักตัวเอง ข้อที่ 3 อย่าตัดสินใจลงทุน เพราะมีคนอื่นมากระซิบหุ้นเด็ด

4. จงอดทน

บัฟเฟตต์แนะนำให้คิดถึงระยะเวลาเป็น 10 ปี แทนที่จะเป็น 10 นาที ถ้าคุณไม่สามารถจะถือหุ้นได้เป็นทศวรรษ … ก็อย่าซื้อหุ้นตั้งแต่แรก อย่าหมกมุ่นอยู่กับราคาหุ้น จงศึกษาพื้นฐานของธุรกิจ ความสามารถในการสร้างกำไร อนาคตของบริษัท และอื่น ๆ เวลาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของธุรกิจ

5. ซื้อธุรกิจไม่ใช่แค่ซื้อหุ้น

ถ้าคุณซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีแล้ว ปล่อยให้คนอื่น ๆ กังวลเรื่องตลาดหุ้นไปเถิด ผลประกอบการของธุรกิจ คือ กุญแจสำคัญของการเลือกซื้อหุ้น ให้ศึกษาผลการดำเนินงานในอดีตของบริษัทที่อยู่ในรายการหุ้นที่คุณสนใจ จงมองหาความแน่นอนในตลาดที่ไม่แน่นอน ธุรกิจจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวเท่านั้น

6. จงมองหาบริษัทที่มี… แฟรนไชส์

ธุรกิจบางประเภทนี้ จะเป็นเสมือนธุรกิจที่มีกำแพง และคูเมืองล้อมรอบอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันศัตรูได้ ธรกิจที่เป็นแฟรนไชส์ ... ต้องขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่

จำเป็นหรือตอบสนองความต้องการ
ไม่ต้องการเงินลงทุนที่มากเกินไป
เป็นผู้นำตลาด และไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง
สามารถขึ้นราคาสินค้าหรือบริการได้อย่างอิสระ

7. ซื้อหุ้นโลเทค ไม่ใช่ … หุ้นไฮเทค

เขาจะหลีกเลี่ยงบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงบ่อย และลงุทนในธุรกิจ “คลื่นลูกเก่า” บริษัทใช้เวลาเป็นทศวรรษ เพื่อที่จะกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ในโลกของบัฟเฟตต์ การประสบความสำเร็จในการลงทุน มักจะเกี่ยวกับเครื่องของ อิฐ พรม สี และลูกอม (ซีส์ แคนดี้) และไม่ควรถูกยั่วยุด้วยความอยากรวยเร็ว หรือไปสนใจบริษัทที่ไม่สามารถที่จะคาดเดาอนาคตได้

8. จงหลีกเลี่ยงการลงทุนในแบบที่บัฟเฟตต์เรียกว่า “เรือของโนอาร์”

คือ ซื้อโน่นนิดนี่หน่อย จะดีกว่าถ้าลงทุนมาก ๆ ในหุ้นน้อยตัว เมื่อคุณมั่นใจว่า ธุรกิจนั้นมีความเข้มแข็ง จงมั่นใจ และอย่าลังเลที่จะซื้อหุ้นเพียงไม่กี่ตัว …ในจำนวนที่มากๆ แทนที่จะซื้อหุ้น … 15-20 บริษัทที่พอใช้ได้

9. ฝึกที่จะอยู่นิ่ง

สัญญาณของความสำเร็จในการลงทุน คือ ความสามารถที่จะปล่อยวางให้เวลาผ่านไปโดยไม่ต้องเคลื่อนไหว อย่าซื้อขาย เพราะเห็นแก่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ การซื้อขายมาก ๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของนักลงทุนที่โลเล ซึ่งมักจะจบลงด้วยการขาดทุนมากกว่าจะกำไร

10. อย่ามอง … ราคาหุ้น

ราคาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตัววิ่ง แต่การลงทุนเป็นอะไรที่มากกว่าราคา ให้เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า หลีกเลี่ยงจากตัววิ่ง และละเว้นจากการดูราคาหุ้นทุก ๆ วัน วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยรู้ว่า บริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของเขาซื้อขายกันที่ราคาเท่าไร ? ไม่ว่าจะเป็นวานนี้ วันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ แต่เขาสนใจว่าจะซื้อขายกันที่ราคาเท่าใดในทศวรรษหน้า เพราะนั่นคือการวัดศักยภาพ และมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

11. มองตลาดหุ้นขาลง ให้เป็นโอกาส

ตลาดหุ้นขาลงไม่ได้ฆ่าใคร แต่กลับเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น ถ้าผู้คนเริ่มวิ่งหนีออกจากหุ้นดี ๆ จงเตรียมพร้อมที่จะลุยไปกับหุ้น จงมองหาบริษัทที่มีคุณภาพที่กำลัง “ลดราคา” นั่นหมายถึง พื้นฐาน และคุณภาพของทีมบริหาร “นักลงทุนจะไม่ขาดทุน เมื่อตลาดปรับตัวลง จะมีก็เพียงนักเก็งกำไรเท่านั้นที่จะขาดทุน”

12. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา

บัฟเฟตต์ชอบเปรียบเทียบแนวทางการลงทุนของเขากับเรื่องของเบสบอล เขาเปรียบนักลงทุนว่าเหมือนกับผู้เล่นที่ถือไม้ และพร้อมที่จะตีลูกทุกลูก…ที่ถูกขว้างเข้ามาหา

ในขณะที่ตลาดหุ้นก็เหมือนกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องขว้างลูกมาให้ …. นักลงทุนตีอยู่ตลอดเวลา เขาแนะนำว่า “อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา” จงอดทนแล้วปล่อยให้ลูกบอลที่ตียาก ๆ ถูกขว้างผ่านไป ให้รอเฉพาะ … ลูกสวย ๆ ตีง่าย ๆ ที่ถูกขว้างมาแล้วค่อยตี

13. อย่าสนใจเรื่องใหญ่ ๆ จงสนใจแต่…เรื่องเล็ก ๆ

เรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ เป็นเรื่องภายนอกธุรกิจ อย่าไปใส่ใจกับมัน จงสนใจแต่เรื่องเล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง

14. บัญญัติ 10 ประการ ในการดูบริษัท

บัฟเฟตต์ จะมองหาธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่เสมอ ดูได้ดังนี้

ทีมผู้บริหารทำงานเพื่อผู้ถือหุ้น หรือทำงานเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเขาเอง ?
ผู้บริหารใช้งบประมาณของบริษัทอย่างรอบคอบ หรือเป็นผู้บริหารที่ใช้เงินสิ้นเปลือง ?
ผู้บริหารทุ่มเท เพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัทให้กับผู้ถือหุ้น และใช้จ่ายเงินอย่างเหมาะสมหรือไม่ ?
ผู้บริหารมีโครงการซื้อหุ้นคืน และไม่ออกหุ้นใหม่ เพื่อที่จะทำให้มูลค่าของหุ้นมีแต่สูงขึ้น ?
ผู้ถือหุ้นถูกปฏิบัติอย่างหุ้นส่วน หรือเป็นเพียงแค่หุ่นไล่กา?
รายงานประจำปีของบริษัท เปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาหรือไม่?
ผู้บริหารรายงานข้อมูลทางบัญชีที่ถูกต้อง หรือพยายามปกปิดข้อมูลความเป็นจริง?
ประเมินทีมผู้บริหารก่อนที่คุณจะลงทุน
มองหาบริษัทที่เป็นมิตรกับผู้ถือหุ้น
หลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีประวัติไม่ดี

15. บัฟเฟตต์ บอกว่า วอลสตรีทเป็นที่ๆ เดียวที่คนซึ่งมาด้วยรถ Rolls-Royces

ฟังคำแนะนำของคนซึ่งเดินทางมาด้วยรถไฟใต้ดิน อย่าสนใจกราฟ กุญแจของการลงทุน คือ ... วินัย และความอดทน ให้ค้นหา … ความแตกต่างระหว่าง มูลค่าของธุรกิจ vs. ราคาของหุ้นในตลาด

16. ฝึกที่จะคิดให้เป็นอิสระ

อยู่ให้ห่างจากฝูงชนที่แตกตื่น ถ้าไม่อย่างนั้น ความอลหม่านจะมาเยือนคุณและการลงทุนของคุณ ทำการบ้านของคุณ และตัดสินใจเลือกการลงทุนด้วยตัวคุณเอง

17. จงอยู่ในขอบเขตความรอบรู้ของคุณ

จงสร้างโซนของความชำนาญขึ้นมา แล้วอยู่แต่ในโซนนั้น และอย่าโทษตัวเองถ้าพลาดโอกาสดี ๆ ที่เกิดขึ้นนอกโซนที่คุณสร้างขึ้น จดรายชื่อธุรกิจและอุตสาหกรรมที่คุณรู้สึกสบายใจด้วย อย่าสร้างข้อยกเว้นให้กับขอบเขตความรอบรู้ของคุณ เล่นเกมของคุณ ไม่ใช่เล่นเกมของคนอื่น

18. อย่าสนใจการพยากรณ์ตลาดหุ้น

การทำนายราคาหุ้น หรือหุ้นกู้ในระยะสั้น ๆ นั้นไร้ประโยชน์ อย่าให้การพยากรณ์มายุ่งเกี่ยวกับ ... การตัดสินใจการลงทุนของคุณ เอาเวลาไปใช้กับการวิเคราะห์ประวัติผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่า พัฒนากลยุทธ์การลงทุนโดยไม่ต้องพึ่งพาภาพรวมการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

19. รู้จักกับ “นายตลาด” และ “ราคาถูกที่ปลอดภัย (Margin of Safety)”

เมื่อเกิดความสับสน จงนึกถึงแนวความคิดของ เบน เกรแฮม ในเรื่อง “นายตลาด” และให้มองหา “Margin of Safety” รอจนกว่าเวลาของคุณจะมาถึง คอยจนกว่านายตลาดจะหดหู่ และทำให้ราคาของหุ้นลดลงมากพอ ที่จะสร้างโอกาสในการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกจนปลอดภัย ... ในปริมาณที่เหมาะสม

20. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว

คุณสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่า ... ใครจะโลภ ตื่นกลัว หรือโง่เขลา คุณแค่ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร หรือกำลังเป็นอะไรอยู่เท่านั้น ซื้อเมื่อคนอื่นกำลังขาย ... และ …ขายเมื่อคนอื่นกำลังซื้อ จงเตรียมพร้อมที่จะลงทุนอย่างรวดเร็ว เมื่อโอกาสนั้นมาถึง

21. อ่าน อ่านให้มาก แล้วคิดให้ดี

บัฟเฟตต์ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวันในการอ่านหนังสือ และใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงในการคุยโทรศัพท์ ส่วนเวลาที่เหลือหมดไปกับการ “คิด” อุตสาหกรรมการลงทุน นั้นไม่เหมือนกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ การที่จะลงทุนนั้นต้องสะสมความรู้ และยังมีสิ่งที่คุณไม่รู้อีกมากมาย ซึ่งพร้อมที่จะให้คุณค้นพบ

22. ใช้แรงม้าของคุณให้เต็มที่

คนทั่ว ๆไปมี “เครื่องยนต์ขนาด 400 แรงม้า” แต่สามารถใช้ได้เพียง 100 แรงม้าเท่านั้น ใครก็ตามที่สามารถใช้แรงม้าได้เต็มที่จากเครื่องยนต์ขนาดแค่ 200 แรงม้า ก็สามารถทำได้ดีกว่าคนอื่น ๆ มาก

23. อย่าทำพลาด จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น

ให้ความสำคัญกับการศึกษาความผิดพลาด และเรียนรู้ที่จะไม่ทำมัน จงระวังคำสัญญาที่พร่ำบอกเกี่ยวกับการรวยเร็ว และผลตอบแทนที่สูงลิ่ว ซึ่งมันมักจะมาควบคู่กับความเสี่ยงก้อนโตเสมอ

จงกระตือรือร้นที่จะตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง และอย่าสละอำนาจการควบคุมพอร์ตการลงทุนของคุณไปให้คนอื่น จับตาดูต้นทุนอยู่เสมอ “จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระ….ที่จะทำ ในสิ่งเดียวกับ….ที่คนอื่นเคยทำผิดมาแล้ว”

24. ก้าวสู่การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้

สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการลงทุนแบบรอบรู้ก็คือ มันสามารถสร้างความมั่งคั่งให้คุณได้ ถ้าคุณไม่รีบร้อนจนเกินไป จงต่อสู้กับเสียงรบกวนต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะแห่งความเป็นจริง ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง จดสิ่งต่าง ๆ ที่คุณทำถูก จดสิ่งต่าง ๆ ที่คุณทำผิด

จงทำวันนี้ให้มาก และทำวันหลังให้น้อยลง การลงทุน คือ การหลีกเลี่ยงปัญหาทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด และแก้ปัญหาทางธุรกิจให้น้อยที่สุด มันเกี่ยวกับการหาและกระโดดข้าม “รั้วที่สูงแค่ 1 ฟุต” ไม่ใช่การพัฒนาความสามารถพิเศษเพื่อที่จะกระโดดข้ามรั้วที่สูง 7 ฟุต

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

+++ 30บทเรียนแห่งความมั่งคั่งจากหนังสือ Secret of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน)

30บทเรียนแห่งความมั่งคั่งจากหนังสือ Secret of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน)

1.ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม คุณก็ต้องยอมเต็มใจยอมปล่อยวางวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แล้วนำวิธีคิดแบบใหม่เข้ามาสู่ชีวิต แล้วคุณจะประจักษ์ถึงผลที่ตามมาในที่สุด

2.โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงเสียงสะท้อนของโลกภายในเท่านั้น ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนอกตัวคุณไม่ได้เป็นได้ด้วยดี นั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆภายในตัวคุณก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกัน

3. ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ การกระทำนำไปสู่ผลลัพธ์ 

4.เงินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญแม่แต่นิดเดียวสำหรับทุกเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน

5. เมื่อคุณบ่น คุณกำลังกลายร่างเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความเลวร้าย” ที่มีชีวิต

6.จำไว้ว่าคุณเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตทางการเงินของตัวคุณเอง ว่าจะมั่งคั่ง ถังแตก หรือมีฐานะในระดับใดก็ตาม

7.เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

8.ถ้าคุณไม่มุ่งมั่นกับการสร้างฐานะอย่างเต็มตัวและสุดหัวใจ คุณก็จะไม่มีโอกาสร่ำรวย

9.การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัวและความไม่พอใจในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงินและความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!

10.ไม่มีทางที่โชค หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลงมือทำการใดๆ (เพื่อเตรียมตัวรับโชคหรือสิ่งนั้นๆ)

11. คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ

12.คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้น แล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง“เตรียมตัว”อยู่นะสิ!

13.คนรวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำที่ย่อมมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่าคุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ

14. ถ้าคุณเชื่อว่าสิ่งที่คุณมีสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง หน้าที่ของคุณก็คือการบอกให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รับรู้ และวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณช่วยเหลือคนอื่นได้เท่านั้น แต่คุณยังจะร่ำรวยอีกด้วย!

15.เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยง ปัดหรือหันหลังให้กับปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำคือ การพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา

16.ถ้าคุณบอกว่าคุณมีค่า คุณก็มีค่า ถ้าคุณบอกว่าคุณไร้ค่า คุณก็ไร้ค่า ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะดำเนินชีวิตไปตามเรื่องราวที่คุณแต่งขึ้นเอง

17.คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า “อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ”

18.มาตรวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่รายได้จากการทำงาน

19.ถ้าคุณไม่ควบคุมเงินของคุณ มันก็จะควบคุมคุณ การจะควบคุมเงินของคุณ คุณต้องรู้จักบริหารเงิน

20. อิสรภาพทางการเงิน คือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ต้องการโดยไม่ต้องทำงานหรือพึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน

21.คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้งอกเงย (รายได้จากทรัพย์สินหรือธุรกิจที่ทำงานแทนคุณและสร้างรายได้ด้วยตัวของมันเอง) ของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย

22.คนจนทำงานหนักและใช้เงินทั้งหมดที่มาหาได้ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวยทำงานหนัก สะสมเงิน และนำไปลงทุน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก

23. ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือ การรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ(บางสิ่งบางอย่างไปสู่ความมั่งคั่ง) และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป

24. คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาหยุดยั้งตนเอง

25. ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวัน พร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา

26.การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครองครอง เพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จ

27. น้อยคนนักจะรู้ว่าวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างและรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ก็คือ การพัฒนาตัวคุณเอง เพื่อให้คุณเติบโตเป็นคนที่ “ประสบความสำเร็จ”

28. คนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่เชื่อว่า “ถ้าฉันมีมากๆ ฉันก็จะสามารถทำในสิ่งที่ฉันต้องการและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้” ส่วนคนรวยเข้าใจว่า “ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีสิ่งที่ฉันต้องการ รวมไปถึงจำนวนเงินมากๆด้วย”

29.คนรวยคือผู้เชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ ชนชั้นกลางคือพวกที่ทำงานของตัวเองได้ดีในระดับปานกลาง และคนจนคือพวกที่ทำงานของตัวเองไม่ได้เรื่องเลย

30.การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวรนั้น มันต้องเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้ง....เครือข่ายในสมองคุณต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ นั่นหมายความว่าคุณต้องนำมันไปปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่อ่าน อย่าเพียงแต่พูดถึงมัน และอย่าเอาแต่คิด จงลงมือทำจริงๆ


Cr. Thanachok Loketkawe

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

+++ เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนักลงทุนที่ดี นั้น ควรที่จะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง

บทความนี้ เป็นบทความที่น่าสนใจสำหรับ บุคคลทั่วไปที่ต้องการวางแผนทางการเงิน และการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนักลงทุนที่ดี นั้น ควรที่จะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง

1. "ความรู้ทางการเงิน" สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า "ความรู้ทางการงาน" เพราะในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่จะสามารถหา "รายได้จากการทำงาน" (you at work) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้องรู้วิธีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" (money at work)

2. การออมเป็น "เกมแห่งระยะเวลา" (game of time) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน

3. การลงทุนเป็น "เกมแห่งจังหวะเวลา" (game of timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกจากตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนยากขึ้นเรื่อยๆ (losses are harder to regain)

4. การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆ แล้วการลงทุนเป็นกระบวนการ (process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา

5. หนทางไปสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ วิธีการ หรือสไตล์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียง "เกมภายนอก" (outer game) แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" (inner game)

6. ลำพังแค่การ "เอาชนะดัชนี" (beat the index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" (beat the market) ได้ เคล็ด (ไม่) ลับในการจะยืนหยัดอยู่ในเกมการลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ "ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืนอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ฝืนตลาด

7. ความสำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆ แล้วมันอาจเปรียบได้กับการวิ่งแข่งระยะไกล (marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร (sprint) ดังนั้น คุณจะต้อง "รู้จักตัวเอง" (know yourself) ว่าอะไรคือสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง (risk attitude) และทักษะในการลงทุน (risk aptitude) เพราะนั่นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุรกิจ" นี้ในระยะยาว

8. ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง "รู้จักเครื่องมือ" (know the vehicle) ว่ามีลักษณะและรูปแบบการให้ผลตอบแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง

9. นอกจากนี้ คุณต้อง "รู้จักตลาด" (know the market) คือ รู้ว่าตลาดการเงินมีธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นลงของตลาด และรู้วิธีการในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

10. อย่าติดอยู่ในกับดักของ "การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" (information overload) ซึ่งมัวแต่สนใจหาข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ จนไม่กล้าลงมือปฏิบัติ (analysis paralysis) เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด (zero-defect mentality) จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ "จำกัดความเสี่ยง" (risk limitation) ไม่ใช่ "กำจัดความเสี่ยง" (risk elimination) ถ้าถามว่ากฎที่สำคัญที่สุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ (rule of thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด "อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า rule of "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องลงมือทำ" เพราะในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ" (luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถูกต้อง

 ที่มา: นำชัย เตชะรัตนะวิโรจน์ และคณะ. อยากรวย ต้องรู้ เล่ม 3: รู้จักเครื่องมือ :กรุงเทพฯ: ฝ่ายสื่อสิ่งพิมพ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

+++ งานแรกของ 9 มหาเศรษฐีวอลล์สตรีท

งานแรกของ 9 มหาเศรษฐีวอลล์สตรีท โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ใครๆ ก็อิจฉาความสำเร็จของมหาเศรษฐีวอลล์สตรีท แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า "งานแรก" ของ 9 นักลงทุนขั้นเทพเริ่มต้นจากอะไร - 

ผู้คนมักมองหน้าฉากความสำเร็จของเหล่ามหาเศรษฐีโลก ลืมมองเบื้องหลังว่ากว่าจะขึ้นมาถึงจุดนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง มหาเศรษฐีวอลล์สตรีทหลายคนก็ไม่ได้เริ่มต้นงานแรกในแวดวงการเงิน แต่เป็นงานส่งหนังสือพิมพ์ เด็กรับรถ กระทั่งเร่ขายหมากฝรั่ง ก้าวแรกเล็กๆ ในวัยเด็กมีทั้งเพื่อหาเงินไว้กินขนม นำไปจ่ายค่าเล่าเรียน และใช้ในการดำเนินชีวิต 9 เซียนวอลล์สตรีทผู้ยิ่งใหญ่ที่เริ่มต้นจากงานเล็กๆ ได้แก่ 

1."วอร์เรน บัฟเฟตต์" เจ้าของอาณาจักรเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ ผู้ติดอันดับต้นๆ ของมหาเศรษฐีโลก คุณปู่บัฟเฟตต์เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ในฐานะพ่อค้าหมากฝรั่ง เขายังซื้อสินค้าไปขายต่อให้ลูกค้าโดยตรง ซึ่งรวมถึงนิตยสารและโค้ก ไม่รวมงานส่งหนังสือพิมพ์ ในขณะที่เด็กน้อยคนอื่นๆ ยังวิ่งเล่นกันอยู่ประธานและซีอีโอของเบิร์กไชร์ฯ วัย 81 กะรัต เป็นหนึ่งในนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จมากสุด และติดอันดับมหาเศรษฐีในทำเนียบฟอร์บสที่มีทรัพย์สินมากถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์

2."แซนดี้ เวลล์" อดีตซีอีโอของซิตี้กรุ๊ป ย้อนกลับไปในช่วงกลางยุค 1950 เวลล์ทำงานขายสมุดหน้าเหลืองในนิวยอร์กซิตี้ แม้จะใช้เวลายาวนานกว่านั้นไปกับการเล่นเกมในร้านเกมตู้ หลังจากนั้นโชคชะตานำพาเขาเข้าสู่แวดวงวอลล์สตรีทในตำแหน่งงานสนับสนุนประจำบริษัทโบรกเกอร์
เวลล์ ไต่เต้าขึ้นถึงตำแหน่งซีอีโอและประธานบริษัทซิตี้กรุ๊ป ทั้งยังได้ฉายา "บิดาของแนวคิดแบงก์แบบครบวงจร" หรือแบงก์ที่มีธุรกรรมหลากหลายคล้ายซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ไม่นานมานี้เวลล์ออกมาส่งเสียงให้แยกงานในแบงก์ขนาดใหญ่ๆ

3."ที. บูน พิกเกนส์" นักลงทุนด้านน้ำมันชื่อดัง เริ่มต้นงานแรกในช่วงวัยรุ่นด้วยการส่งหนังสือพิมพ์ เขาสามารถเพิ่มยอดขายจากการขยายเส้นทางจัดส่ง ผ่านการควบรวมกิจการของเด็กส่งคนอื่นๆ
ปัจจุบัน พิกเกนส์เป็นประธานบริษัทบีพี แคปิตอล แมเนจเมนต์ ซึ่งเน้นลงทุนด้านพลังงาน นิตยสารฟอร์บสประเมินความร่ำรวยของพิกเกนส์อยู่ที่ 1.4 พันล้านดอลลาร์

4."จูเลียน โรเบิร์ตสัน" อดีตผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์มือทอง ทำงาน 2 ปีในกองทัพเรือสหรัฐหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา ชาเปล ฮิลล์ เขาเริ่มต้นงานในแวดวงการเงินที่บริษัทคิดเดอร์ พีบอดี้ แอนด์ คอมปะนี ในตำแหน่งพนักงานขายฝึกหัด ก่อนจะก่อตั้งไทเกอร์ แมเนจเมนต์ คอมปะนี กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากสุด แม้จะต้องปิดตัวไปในปี 2543 โดยฟอร์บสประเมินความมั่งคั่งของโรเบิร์ตสันอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์

5."เรย์ ดาลิโอ" นักธุรกิจที่มีชื่อติดทำเนียบ 100 ผู้ทรงอิทธิพลของนิตยสารไทม์ในปีนี้ เข้าสู่โลกแห่งการทำงานตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยเป็นแคดดี้ในสนามกอล์ฟที่บรรดาผู้คนในแวดวงวอลล์สตรีทนิยมเข้าไปใช้บริการ เขาเก็บหอมรอมริบค่าจ้างที่ได้เพื่อนำไปซื้อหุ้น ดาลิโอเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ "บริดจ์วอเตอร์ แอสโซซิเอตส์" และถูกขนานนามให้เป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลก ฟอร์บสคำนวณความรวยของดาลิโอไว้ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์

6."ลอยด์ แบลงค์ไฟน์" ซีอีโอและประธานของโกลด์แมน แซคส์ ในช่วงวัยรุ่นเขาหาเงินพิเศษด้วยการเป็นนายหน้าขายสัมปทานธุรกิจในสนามแยงกี้ สเตเดียม และเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทางน้ำ ค่าตอบแทนโดยรวมของแบลงค์ไฟน์ในปี 2554 อยู่ที่ 16.1 ล้านดอลลาร์

7."ไมเคิล บลูมเบิร์ก" เศรษฐีและนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก 3 สมัย เคยทำงานเป็นเด็กรับรถในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ เพื่อหาเงินเป็นเค่าเล่าเรียนเขาเริ่มต้นงานในแวดวงการเงินที่โซโลมอน บราเธอร์ส เมื่อปี 2509 กระทั่งถูกเลย์ออฟในปี 2524 ก่อนจะก่อตั้งบริษัทของตัวเองจนกลายเป็นอาณาจักรสื่อยักษ์ใหญ่ "บลูมเบิร์ก" ฟอร์บสประเมินความรวยของเขาอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์

8."จอห์น สตัมฟ์" นายธนาคารชื่อดังที่เริ่มต้นงานแรกด้วยการทำขนมปังในร้านเบเกอรี่ หลังจากได้เกรดย่ำแย่เมื่อครั้งเรียนมัธยมจนต้องเลิกไปในที่สุด เขาเป็นลูกหม้อที่ร่วมงานกับธนาคารเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ยาวนาน 30 ปี จนไต่เต้าขึ้นมาเป็นซีอีโอและประธาน เขาได้ผลตอบแทน 19.8 ล้านดอลลาร์ในปี 2554

9."ชาร์ลส ชวาบ" ขายวอลนัทเป็นงานแรกในชีวิต ก่อนจะกลายเป็นผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่งประธานบริษัทชาร์ลส ชวาบ คอร์ปอเรชั่น บริษัทโบรกเกอร์ชื่อดัง ฟอร์บสประเมินว่าชวาบมีทรัพย์สินราว 3.5 พันล้านดอลลาร์

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

+++ ถ้าจะอยู่กับตลาดนี้ให้รอด.... (เน้นว่าเอาแค่รอด...เรื่องรวยค่อยว่ากัน) อย่า..มโน..และเรา ควรจะ

เก็บตกจาก facebok may 2014 

นั่งอ่าน นั่น นี่ โน่น ตาม facebook ก็เลย ..เห็นหลายๆ ท่าน เชิญชวน ฝากเทรด สมัคร sms สมัคร line ... ผมไม่รู้อ่ะ ไม่เคยแจมเลย...เลย.มโนแนวคิดส่วนตัว...และที่ได้จากการอ่าน นั่น นี่ โน่น .. มาฝากว่า...ถ้าจะอยู่กับตลาดนี้ให้รอด.... (เน้นว่าเอาแค่รอด...เรื่องรวยค่อยว่ากัน) ควรจะ

เข้าใจตลาดที่เราเทรด ว่าเป็นแนวไหน ความผันผวน ความเสี่ยง ทิศทางแนวโน้มของตลาด รูปแบบราคา พฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือไม่ซ้ำ  ยังไง 

เข้าใจผู้เล่นในตลาด ว่ามีกลุ่มไหนบ้าง เราเทรดกับใคร ผู้เล่นมีใครบ้าง ช่วงนี้เขาทำอะไร ที่ผ่านมาเขาทำแบบไหน และส่วนใหญ่ใคร win ใคร loss แล้วเราจะเลือกทำแบบใคร 

เข้าใจหุ้น หรือสินค้าที่เราเทรด ว่านิสัย price action, price pattern เป้นไรยังไง เจ้ามือเขากินแบบไหน ถ้าเป็นหุ้นก็ แนวโน้ม SWOT, 5FORCE งบการเงิน พิ้นฐานแนวโน้มเขา fundamental เขา

เข้าใจระบบ หรือเครื่องมือ ที่นำมาใช้ว่า คืออะไร คำนวณจากอะไร อย่าตีความว่านั่น ตัดนี่ นี่ตัดนั่น แล้วต้อง action อันตรายไป แปลง indicator เป็นอารมณ์คนในตลาดที่เราเทรด ว่าเขากล้า กลัว โลภ ยังไง มันแปลงได้ ศึกษาให้ดี ๆ แล้วฝึกจะเข้าใจ และเอามาใช้ได้ เลิกเอาพวกนั่นตัดนี่ นี่ตัดนั่น นั่น diver นี่ conver มาใช้เป็นเงื่อนไขในการสั่งซื้อขาย อันตราย ค๊อด ๆ 

เข้าใจตัวเอง ว่าเราเป็นคนเทรดแบบไหน ชอบกำไรไว กำไรเยอะ เสี่ยงน้อย เสี่ยงมาก ถือสั้น ถือนาน มีประสบการณ์แค่ไหน ความรู้เรายังไง 

และทั้งหมด ฝึก ลองผิด ลองถูก เรียนรู้ กล้า พัฒนา ปรับปรุง เพื่อให้มันเหมาะกับสันดานลึก ๆ ของเรา ไม่มีใครเข้าใจเราได้ดีที่สุดเท่าตัวเรา และไม่มีใครทำร้ายหรือหลอกเราได้เนียนสุดเท่าตัวเรา

อย่าไปเทรดแข่งกับใครเขาเลย แข่งกะตัวเรานี่แหละ ถ้ามีความรู้ มีประสบการณ์ แล้วชนะใจตัวเองได้ คุณก็ชนะตลาด เพราะเราเปลี่ยนแปลงนายตลาดไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนเปลงตัวเราได้

Happy Trade กับการเทรดด้วยลมหายใจตัวเองนะครับ