วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

+++ ลิงค์เครื่องมือดี ๆ สำหรับ FOREX ทั้งดู Volatility / Correlation

     เออ อันนี้เจ๋งดี http://www.investing.com/forex-tools/correlation-calculator คำนวณหาค่า Correlation เลือกได้เลย คือค่ามาทาง + มาคือวิ่งคล้ายๆ กัน ค่าห่างกันไปทาง - คือวิ่งสวนกันมาก ลองเลือกไปวางแผนการเทรดหรือทำ ea ดูครับ

ส่วนอันนี้ก็ดู online ได้เลยเช่นกัน  http://www.forexticket.com/en/tools/01-01-correlation


http://www.myfxbook.com/forex-market/volatility/EURJPY ไว้เผื่อใครอยากรู้ Volatility ของคู่เงิน ที่ชอบเล่นว่าตัวไหน คึกช่วงไหน เวลาไหน ลองมาเช็คดูได้
เห็นภาพนี้แล้วอยากลอง แยกบัญชี มาเล่นแบบ ภาพใหญ่ มากกว่า Trade รายวันหรือตามรอบดูจัง.... ใครเคยเทรดแบบรอบใหญ่ๆ หรือยาว ๆ บ้างไหมอ่ะครับ



พอดีกำลังอ่านเรื่อง การ hedge ของ baby pips อยู่ เลยเอามาฝากครับ


+++ 7 นิสัยที่คล้ายกันของคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

7 นิสัยที่คล้ายกันของคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

1. เป็นนักตั้งเป้าหมาย
     เขาตั้งเป้าหมายมากมายในสิ่งที่เขาต้องการด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด มีเหตุผลให้กับตัวเองมากพอในแต่ละเป้าหมายว่าทำไมเขาถึงต้องการมัน การตั้งเป็าหมายเป็นการสร้างภาพความสำเร็จล่วงหน้าทำให้เขาสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเป็นพลังพลักดันอย่างมหาศาลในการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จเร็วยิ่งขึ้น

2. โฟกัสทีละอย่าง
     พลังของแสงเลเซอร์สามารถตัดวัตถุที่แข็งแรงที่สุดได้เกือบทุกอย่างจากความสามารถในการรวบรวมการโฟกัสทั้งหมดของแสงไปที่จุดหนึ่งของวัตถุจนกระทั่งวัตถุนั้นเริ่มละลาย คนที่ประสบความสำเร็จเป็นเหมือนแสงเลเซอร์ เขาตั้งเป้าหมายอันท้าทาย โฟกัสที่เป้าหมายนั้น ทุ่มเทความพายายามและความสามารถทั้งหมดที่มีอย่างไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จผล แตกต่างจากคนทั่วไปซึ่งไม่มีโฟกัส พวกเขาทำทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

3. ให้ความสำคัญกับเวลา
     เขาใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ คิดถึงคุณค่าที่สร้างขึ้นให้กับตัวเองและผู้อื่นในเวลาที่ใช้ไปแต่ละชัวโมงแทนที่จะเป็นรายเดือนหรือรายปี เขาไม่ได้ใช้เวลามากมายกับ Social Media หรือดูทีวี เพราะเขาต้องการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด

4. ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้
     เป็นเรื่องง่ายที่ทำได้อยากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มักมีรายจายเพิ่มขึ้นอย่างเกินตัวเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่น ซื้อรถใหม่ ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น Warren Buffet แนะนำว่า “อย่าออมจากเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่ต้องใช้จ่ายจากเงินที่เหลือจากการออม”

5. เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ
     ยิ่งคุณรู้มากขึ้นคุณยิ่งสามารถประสบความสำเร็จได้มากขึ้น การทำงานหนักอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ แต่คุณสามารถเพิ่มคุณค่าของตัวคุณที่มีต่อผู้อื่นได้ด้วยการเริ่มต้นจากการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวคุณเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ ฝึกฝนทักษะใหม่และหาประสบการณ์ใหม่ให้กับตัวคุณเองทุกวัน

6. ไม่ยอมแพ้
     คนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ผ่านความล้มเหลวมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็สามารถลุกขึ้นยืนได้เสมอกับทุกครั้งที่ล้ม เมื่อคุณไม่ยอมแพ้คุณสามารถเรียนรู้ พัฒนาตัวเองได้จากทุกความผิดพลาดและความล้มเหลวที่คุณมี

7. ใจกว้างและมีน้ำใจ
     พวกเขาไม่เพียงสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง แต่พวกเขามุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นเป็นหลักด้วยในขณะเดียวกันด้วยความเชื่อที่ว่า “ยิ่งให้ คุณยิ่งได้”

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

+++ ของ ตปท. อย่าง broker ใหญ่ๆ แบบนี้ เขามีทุกอย่างเตรียมไว้ให้หมดเลยครับ

https://www.interactivebrokers.com.hk/en/index.php?f=tradersu&p=tours

ของ ตปท. อย่าง broker ใหญ่ๆ แบบนี้ เขามีทุกอย่างเตรียมไว้ให้หมดเลยครับ ทั้ง tools, know how, เทคนิค , สัมมนา , แนะนำ เรียกว่าพร้อมเลย อยู่ที่ตัวเรา ว่าจะเอาไม่เอา




ที่เอามาแชร์ วัตถุประสงค์ผมคือ อยากแชร์ให้เห็น ถึงการเรียนรู้ และโลกใบใหญ่ รวมถึงการพัฒนา การหาความรู้ ปรับแต่ง ทดลอง เพื่อท้ายสุดแล้ว เราจะต้องอยู่กับมันด้วยลมหายใจของตัวเราเอง

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

+++ ถ้าจะอยู่รอด ได้ต้องมองหา และฝึก สมาธิ จิตใจ วินัย อารมณ์ money management และกลยุทธ์


    พอดีได้มีโอกาส แลกเปลี่ยน แนวคิด กะเพื่อน หลายครั้งแล้วแหละ และผมจะพูด...แบบนี้ 2-3 ครั้งแหละ เหมือนย้ำ ๆ เตือนไรตัวเอง และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ กะคนอื่น 

ช่วงก่อนปี 40 คือตลาดหุ้นจะคึกคักมาก ผมก็เม่าตัวหนึ่ง ที่พุ่งหลาวเข้ากองไฟ และก็...ไม่รอด ตอนนั้นจำได้ ติดตาเลย มีเงินอย่างเดียวไม่พอ..ต้อง *&^&^%^%&^U^

สิ่งที่เห็นเต็มท้องตลาดตอนนั้น.....คือหนังสือหุ้น 40-60 เล่ม pe, eps,pbv,vi,fundamental, ไรต่างๆ มากมาย ..เล่นหุ้นผ่านเน็ต....ตรึม...
แต่มี.....อย่างหนึ่งที่มีไม่มากคือ หนังสือ หรือความรู้เกี่ยวกับ technical แทบจะไม่มีเลย ในยุคนั้น (อาจจะเพราะผมโลกแคบกะได้มั้ง)

ปีก่อน ...ตลาดหุ้นจะคึกคักมาก...
สิ่งที่เห็นเต็มท้องตลาด.....คือหนังสือ เทคนิค ความรู้เทคนิค เพรียบบบบ และเทคโนโลยีต่างๆ ก็อำนวยความสะดวก ณ เพลานี้ ...แทบจะไม่มีใครที่เล่นหุ้นไม่รู้จักเทคนิค
แต่..มีอย่างหนึ่งที่มีไม่มากคือ......อะไรรู้ป่ะครับ .....

ผมว่า...มันขาดไรไปป่ะ? 

เสริมทิ้งท้าย ผมเล่น ลอง เรียน ศึกษา สร้าง ไรเยอะแยะมากว่า 2 ปี แหละ ผมได้รู้ ได้เห็นไรอย่างหนึ่งซ้ำ ๆ กันคือ ไม่มี model ไหนที่แม่นที่สุด 

และ indicator หรือหลักแนวคิดต่าง ๆ ท้ายสุด...จุดเข้าออกคล้้าย ๆ กัน ไม่มีตัวไหนเทพ จุติ แต่มันไม่ โกหก เพราะพวก lag indicator ก็ทำงานของมัน lead ก็ทำงานของมัน และส่วนใหญ่ เอา ราคา ปิด เปิด สูง ต่ำ มาคำนวณแทบทั้งนั้น

ผมว่าผมหาเจอแหละว่า...ถ้าจะอยู่รอด ได้ต้องมองหา และฝึกไร  สมาธิ จิตใจ วินัย อานรมณ์ money management และกลยุทธ์ 


สาธุ ขอให้ผมคิดถูก


     เทรดไรแบบไหน หลักอะไร แนวคิดแบบไหน แล้วแต่นิสัย ประสบการณ์ ของใครของมัน ขอให้มันได้ตังค์ และไม่ต้องทุกข์ แล้วคนอื่นไม่ต้องมาเดือดร้อนเพราะเราก็ดีแหล้ววว หาตัวเองให้เจอ เรียนเพื่อรู้ พัฒนาตัวเองไปเรื่อย เทรดแข่งกับตัวเอง ไม่ต้องแข่งไรใครมาก รู้ก็แบ่งปันกันไป 

ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ...แต่ยังไงก็ต้องพัฒนาระบบ ต่ออยู่ดีอ่ะครับ เพราะถ้าไม่มีระบบ ผมกะไปไม่เป็นเหมือนกัน 5555

+++ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการ ฝึก สมาธิ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานสำหรับเทรดเดอร์...

**** รวบรวมมาจากหลายเว็บ หลายที่ เพื่อไว้อ่าน ศึกษา 

วิธีฝึกสมาธิเบื้องต้น

     สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนากำหนดเอาไว้เป็นข้อควรปฏิบัติ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างเป็นสุข ไม่ประมาท เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญา อันเป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ ดังวิธีปฏิบัติที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้เมตตาสั่งสอนไว้ ดังนี้

    กราบบูชาพระรัตนตรัย เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจให้นุ่มนวลไว้เป็นเบื้องต้น แล้วสมาทานศีลห้า หรือศีลแปด เพื่อย้ำความมั่นคงในคุณธรรมของตนเอง
    คุกเข่าหรือนั่งพับเพียบสบายๆ ระลึกถึงความดีที่ได้กระทำไว้ดีแล้วในวันนี้ ในอดีต และที่จะตั้งใจทำต่อไปในอนาคต จนราวกับว่าร่างกายทั้งหมดประกอบขึ้นด้วยธาตุแห่งคุณงามความดีล้วนๆ
    นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย นั่งให้อยู่ในท่าที่พอดี ไม่ฝืนร่างกายมากจนเกินไป ไม่ถึงกับเกร็ง แต่อย่าให้หลังโค้งงอ หลับตาพอสบายคล้ายกับกำลังพักผ่อน ไม่บีบกล้ามเนื้อตาหรือขมวดคิ้ว แล้วตั้งใจมั่น วางอารมณ์สบาย สร้างความรู้สึกให้พร้อมทั้งกายและใจว่า กำลังเข้าไปสู่สภาวะแห่งความสงบ สบายอย่างยิ่ง

    นึกกำหนดนิมิต เป็นดวงกลมใส ขนาดเท่าแก้วตาดำ ใสบริสุทธิ์ ปราศจากรอยตำหนิใดๆ ขาวใส เย็นตา เย็นใจ ดังประกายของดวงดาว ดวงแก้วกลมใสนี้เรียกว่า "บริกรรมนิมิต" นึกสบายๆ นึกเหมือนดวงแก้วนั้นมานิ่งสนิทอยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด นึกไปภาวนาไปอย่างนุ่มนวล เป็นพุทธานุสติว่า “สัมมา อะระหัง” หรือค่อยๆน้อมนึกดวงแก้วกลมใสให้ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางกายตามแนวฐาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ฐานที่หนึ่งเป็นต้นไป น้อมนึกอย่างสบายๆ ใจเย็นๆ ไปพร้อมๆกับคำภาวนา

ฐานที่ตั้งของใจทั้ง 7 ฐาน

    ฐานที่ 1 ปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา
    ฐานที่ 2 เพลาตา หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา
    ฐานที่ 3 จอมประสาท
    ฐานที่ 4 ช่องเพดานปาก
    ฐานที่ 5 ปากช่องลำคอ
    ฐานที่ 6 ศูนย์กลางกาย ระดับสะดือ
    ฐานที่ 7 ศูนย์กลางกาย ที่ตั้งของใจถาวร เหนือสะดือสองนิ้วมือ

     อนึ่ง เมื่อนิมิตดวงกลมใสปรากฏแล้ว ณ กลางกาย ให้วางอารมณ์สบายๆกับนิมิตนั้น จนเหมือนกับว่าดวงนิมิตเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ หากดวงนิมิตนั้นอันตรธานหายไป ก็ไม่ต้องนึกเสียดาย ให้วางอารมณ์สบาย แล้วนึกนิมิตนั้นขึ้นมาใหม่แทนดวงเก่า หรือเมื่อนิมิตนั้นปรากฏที่อื่นที่ไม่ใช่ศูนย์กลางกาย ให้ค่อยๆน้อมนิมิตเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการบังคับ และเมื่อนิมิตมาหยุดสนิท ณ ศูนย์กลางกาย ให้วางสติลงไปยังจุดศูนย์กลางของดวงนิมิต ด้วยความรู้สึกคล้ายมีดวงดาวดวงเล็กๆอีกดวงหนึ่ง ซ้อนอยู่ตรงกลางดวงนิมิตดวงเดิม แล้วสนใจเอาใจใส่แต่ดวงเล็กๆตรงกลางนั้นไปเรื่อยๆ ใจจะปรับจนหยุดได้ถูกส่วน เกิดการตกศูนย์และเกิดดวงสว่างขึ้นมาแทนที่ ดวงนี้เรียกว่า "ดวงธรรม" หรือ "ดวงปฐมมรรค" อันเป็นประตูเบื้องต้นที่จะเปิดไปสู่หนทางแห่งมรรคผลนิพพาน การระลึกนึกถึงนิมิตสามารถทำได้ในทุกแห่ง ทุกที่ ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือขณะทำภารกิจใดๆ

     ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ ทำอย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันมิให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง และเมื่อการฝึกสมาธิบังเกิดผลจนได้ดวงปฐมมรรค ที่ใสเกินใส สวยเกินสวย ติดสนิทมั่นคงที่ศูนย์กลางกายแล้ว ให้หมั่นตรึกระลึกถึงอยู่เสมอ อย่างนี้แล้ว ผลแห่งสมาธิจะทำให้ชีวิตดำรงอยู่บนเส้นทางแห่งความสุข ความสำเร็จ และความไม่ประมาทตลอดไป ทั้งยังจะทำให้สมาธิละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับอีกด้วย

เทคนิคเบื้องต้นในการทำสมาธิ

    หลับตาเบาๆ ผนังตาปิด 90%
    อย่าบังคับใจ เพียงตั้งสติ วางใจเบาๆ ณ ศูนย์กลางกาย กำหนดนิมิตเป็น ดวงแก้วใสๆ...เบาๆหรือ องค์พระใสๆ...เบาๆ หรือ ลมหายใจ เข้า-ออก...เบาๆ หรือ อาการท้อง พอง-ยุบ...เบาๆ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
    กำหนดนิมิต นึกนิมิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกุศโลบายล่อใจให้เข้ามาตั้งมั่นในกาย
    เมื่อใจเข้ามาหยุดนิ่งในกาย การกำหนดนิมิตก็หยุดโดยอัตโนมัติ
    รับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในกายและจิตใจ ด้วยความสงบ
    อยู่ในความดูแลของกัลยาณมิตรอย่างใกล้ชิด

หลักการฝึกสมาธิ

    น้อมใจมาเก็บไว้ ณ ศูนย์กลางกาย แต่ละครั้งเก็บใจไว้ให้นานที่สุด จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยมีใจตั้งมั่นภายใน  มีสติกำกับใจตลอดเวลา ทำให้ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัส รู้ธรรมารมณ์ใดๆ (เช่น ในคำสรรเสริญ เยินยอ ยศศักดิ์ ชื่อเสียง ฯลฯ)
    ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ และตรงเวลาเป็นประจำ
    มีอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถจริง คอยควบคุม ให้คำแนะนำ อย่างใกล้ชิด

ข้อควรระวัง

    อย่าใช้กำลัง คือ ไม่ใช้กำลังใดๆทั้งสิ้น เช่น ไม่บีบกล้ามเนื้อตา เพื่อจะให้เห็นนิมิตเร็วๆ ไม่เกร็งแขน ไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่เกร็งตัว ฯลฯ เพราะการใช้กำลังตรงส่วนใดของร่างการก็ตาม จะทำให้จิตเคลื่อนจากศูนย์กลางกายไปสู่จุดนั้น
    อย่าอยากเห็น คือ ทำใจให้เป็นกลาง ประคองสติมิให้เผลอจากบริกรรมภาวนา และบริกรรมนิมิต ส่วนจะเห็นนิมิตเมื่อใดนั้น อย่ากังวล ถ้าถึงเวลาแล้วย่อมเห็นเอง การบังเกิดของดวงนิมิตนั้น อุปมาเสมือนการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ เราไม่อาจจะเร่งเวลาได้
    อย่ากังวลถึงการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพราะการฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน อาศัยการนึกถึง อาโลกกสิณ คือ กสิณความสว่าง เป็นบาทเบื้องต้น
    เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ให้ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เช่น ยืน เดิน นอน หรือนั่ง อย่าย้ายฐานที่ตั้งจิตไปไว้ที่อื่นเป็นอันขาด ให้ตั้งใจบริกรรมภาวนา พร้อมกับนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใส หรือองค์พระแก้วใส ควบคู่กันไปตลอด
    นิมิตต่างๆที่เกิดขึ้น จะต้องน้อมไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดทั้งหมด ถ้านิมิตเกิดขึ้นแล้วหายไป ก็ไม่ต้องตามหา ให้ภาวนาประคองใจต่อไปตามปกติ ในที่สุดเมื่อจิตสงบ นิมิตย่อมปรากฏขึ้นมาใหม่อีก

การฝึกสมาธิเบื้องต้นเท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขได้พอสมควร เมื่อซักซ้อมปฏิบัติอยู่เสมอๆไม่ทอดทิ้ง จนได้ดวงปฐมมรรคแล้ว ก็ให้หมั่นประครองรักษาดวงปฐมมรรคนั้นไว้ตลอดชีวิต ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ย่อมเป็นหลักประกันได้ว่า ได้ที่พึ่งของชีวิตที่ถูกต้องดีงาม ที่จะส่งผลให้เป็นผู้มีความสุขความเจริญ ทั้งในภพชาตินี้และภพชาติหน้า เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากสามารถแนะนำต่อๆกันไป ขยายไปยังเหล่ามนุษยชาติอย่างไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ สันติสุขอันไพบูลย์ที่ทุกคนใฝ่ฝัน ก็ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

การนั่งสมาธิ
      สมาธิ ก็คือ การที่ใจตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียวอย่างต่อเนื่อง หรือการที่ใจสงบหยุดนิ่งแน่แน่วเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อใจหยุดนิ่งแล้วใจจะไม่สนใจในเรื่องอื่นๆที่เศร้าหมองที่เข้ากระทบใจ เมื่อใจหยุดนิ่งนานเข้าใจจะมีแต่ความบริสุทธิ์ ผ่องใส จนกระทั่งสามารถสัมผัสและมองเห็นความผ่องใสในของตัวเองได้ ซึ่งความสงบความบริสุทธิ์นี้เอง ทำให้เกิดกำลังใจ เกิดกำลังสติปัญญา ในการดำเนินชีวิต และความบริสุทธิ์นี้ก็นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงให้กับเราอีกด้วย

      สมาธิก็คือความตั้งมั่นของใจนั่นเอง สมาธิเป็นสิ่งสากล ที่ใครๆก็สามารถทำได้ ไม่จำกัดเฉพาะพระ นักบวช ชาวพุทธ หรือผู้เคร่งในศาสนาเท่านั้น แต่สมาธินั้นเป็นของกลางๆ ที่ใครๆ ก็สามาถปฏิบัติและฝึกฝนได้ และคุณก็สามารถทำได้ด้วย

       สมาธินั่นสามารถฝึกฝนได้ในทุกอริยาบถ สังเกตว่าเวลาเราอ่านหนังสือใจเราก็จะเป็นสมาธิ แต่ถ้าเราอยากให้ใจเราเป็นสมาธิมากขึ้น เราก็สามารถที่จะฝึกฝนได้ และการฝึกฝนนั้นก็สามารถทำได้ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน กินข้าว อาบน้ำ และในทุกๆช่วงเวลา

      การฝึกสมาธิยังช่วยทำให้ชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็น เวลาทำงาน อ่านหนังสือ ทานอาหาร ดูทีวี คุณสามารถมีใจจดจ่อกับเรื่องนั้นๆ ได้ดีขึ้น  สมาธิยังทำให้คุณสามารถควบคุมจิตใจของคุณได้ ให้ไม่โกรธเคือง หงุดหงิด หรือน้อยใจได้  และหากคุณฝึกสมาธิมากๆแล้ว สมาธิก็จะทำให้คุณมีความสุขจากความสงบความบริสุทธิ์ของใจ ใจของคุณจะคิดแต่เรื่องดีๆ พูดแต่เรื่องดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ  และถ้าทุกๆคนในโลกพร้อมใจกันทำสมาธิจนได้พบกับความสุขความสงบแล้ว สันติภาพที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้น โลกจะไม่มีการเข่นฆ่ากัน ไม่มีสงคราม จะเป็นโลกที่มีแต่ความสงบสุขด้วยความสุขจากสมาธิ

ประโยชน์ดี ๆ จากการนั่งสมาธิ วันนี้เรามีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้การฝึกนั่งสมาธิของคุณเป็นเรื่องง่ายมาฝากกันค่ะ


 1. จัดท่าทางให้ถูกต้อง

          จริงอยู่ว่าใคร ๆ ก็นั่งขัดสมาธิ เพื่อนั่งสมาธิได้ แต่การนั่งที่ถูกต้อง คือ คุณต้องแน่ใจว่าคุณนั่งตัวตรง หัวตรง นั่นเพราะร่างกายของเราสัมพันธ์กับจิตใจค่ะ หากคุณนั่งตัวงอแล้วละก็ จิตใจของคุณก็จะล่องลอยไป ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะคะ แต่ไม่ต้องนั่งเกร็งมาก ให้นั่งเหมือนเรากำลังผ่อนคลายดีที่สุด

 2. เปิดตานั่งสมาธิ

          บางครั้งการนั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องหลับตาเสมอไป คุณสามารถเปิดตาไว้ แต่ปรับระดับสายตาให้มองต่ำลง โดยกำหนดจุดให้เพ่งรวบรวมสมาธิไว้ เพราะบางคนเมื่อปิดตาแล้วกลับรู้สึกฟุ้งซ่าน ในหัวสมองเต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าวิธีใดทำแล้วได้ผลมากกว่ากัน

 3. กำหนดรู้ลมหายใจ

          การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นการกำหนดที่ตั้งของสติ เพื่อให้จิตเราอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ๆ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปบังคับการหายใจ แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

 4. นับลมหายใจเข้า-ออก

          การนับลมหายใจเข้าออก เป็นวิธีปฏิบัติสมาธิมาตั้งแต่โบราณ โดยเมื่อคุณหายใจออกก็ให้คุณเริ่มนับหนึ่งในใจ ต่อไปก็เป็นสองสามสี่ตามลำดับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าความคิดของคุณกำลังล่องลอยออกไปที่อื่น ให้คุณกลับมาตั้งต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง เพื่อให้คุณนำจิตกลับมาที่เดิม

 5. ควบคุมความคิดไม่ให้เข้ามารบกวน

          เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณกำลังมีความ คิดเข้ามารบกวนจิตใจ ค่อย ๆ ขจัดความคิดเหล่านี้ออกไป โดยหันมาสนใจกับการกำหนดลมหายใจ อย่าพยายามหยุดความคิดในทันที เพราะมันจะทำให้คุณฟุ้งซ่านและไม่สามารถกลับเข้าสู่สมาธิได้อีก

 6. กำจัดอารมณ์ให้หมดสิ้น

          มันเป็นการยากที่จะนั่งสมาธิในขณะที่จิตของคุณเต็มไปด้วยอารมณ์ เพราะอารมณ์จะทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ในจิตใจ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ กลัว เสียใจ ซึ่งไม่ได้ทำให้คุณอยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่กับสิ่งที่เป็นในตอนนี้เลย ให้คุณจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้โดยกำหนดลมหายใจไปที่ความรู้สึกของร่างกายที่ควบคุมอารมณ์ส่วนนั้น เพราะจะทำให้คุณไม่คิดถึงเรื่องราวที่ทำให้คุณกลัว หรือโกรธอีก แต่หันมาเพ่งกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้แทน

 7. ความเงียบบ่อเกิดแห่งความสงบ

          การนั่งสมาธิควรจะนั่งในที่เงียบ ๆ เพื่อทำจิตให้ว่าง ไม่ใส่ใจถึงบุคคล เสียง หรือสิ่งอื่นที่อยู่โดยรอบ เพราะความเงียบจะนำมาซึ่งความสงบเยือกเย็น และความรู้สึกมั่นคง เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเงียบภายนอกและภายในประสานกันได้ คุณก็จะรู้สึกได้พักกายพักใจ ผ่อนคลายจากความคิดที่รบกวนคุณอยู่ตลอดมา

 8. เวลาในการนั่งสมาธิ

          เมื่อเริ่มต้นนั่งสมาธิใหม่ ๆ คุณอาจจะลองนั่งก่อนประมาณสัก 10 นาที และจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าจิตคุณเริ่มนิ่งมากขึ้น แต่อย่าบังคับตัวเองให้นั่งนานเกินไปหากคุณยังไม่พร้อม ทั้งนี้ ระยะเวลาที่เหมาะ คือประมาณ 25 นาที เพราะเป็นระยะเวลาที่ไม่ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยร่างกายเกินไปจนรบกวนสมาธิได้ 

 9. สถานที่ในการนั่งสมาธิ

          สถานที่และบรรยากาศก็ช่วยให้คุณทำสมาธิได้ดีขึ้น ซึ่งการนั่งสมาธิในห้องพระจะช่วยให้จิตใจสงบและรู้สึกเป็นสมาธิมาก หรือคุณอาจจะวางสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณชอบ หรือช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายไว้รอบ ๆ ที่คุณนั่งสมาธิก็ได้

 10. มีความสุขไปกับการนั่งสมาธิ

          คนเราหากทำอะไรแล้วมีความสุข เราก็จะทำมันได้ดี และรู้สึกอยากทำต่อไป ในการนั่งสมาธิก็เช่นกัน หากคุณมีความสุขในการนั่งสมาธิ คุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายสบายตัว และอยากจะทำต่อไป จนสามารถทำเป็นกิจวัตรที่ทำทุกวันได้

ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ
1. การนั่งสมาธิผลต่อตนเอง คือ

       1.1 ด้านสุขภาพจิต
             - ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำจิตใจ ผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสติ ปัญญาดีขึ้น
             - ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำอะไรคิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง เลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น

        1.2 ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ
              - จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย มีผิวพรรณผ่องใส
              - มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็นและเชื่อมั่นในตนเอง
              - มีมนุษยสัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับเทศกาลเทศะเป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป

        1.3 ด้านชีวิตประจำวัน
              - ช่วยให้คลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและการศึกษาเล่าเรียน
              - ช่วยเสริมให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะร่างกายกับจิตใจย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว

       1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา
             - ย่อมเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ เชื่อกฎแห่งกรรม สามารถคุ้มครองตนให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายได้ เป็นผู้มีความประพฤติดี เนื่องจากจิตใจดี ทำให้ความประพฤติทางกายและวาจาดีตามไปด้วย
            - ย่อมเป็นผู้มีความมักน้อย สันโดษ รักสงบและมีขันติเป็นเลิศ
            - ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเป็นผู้มีสัมมาคารวะและมีความอ่อนน้อมถ่อมตน

2. ผลต่อครอบครัว

        2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเห็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

       2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้มีใจคอหนักแน่น เมื่อมีปัญหาครอบครัวหรือมีอุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้

3. การนั่งสมาธิผลต่อสังคมและประเทศชาติ คือ

      3.1 ทำให้สังคมสงบสุข ปราศจากปัญหาอาชญากรรมและปัญหาสังคมสังคมอื่นๆ เพราะปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหาการฆ่า การข่มขืน โจรผู้ร้าย การทุจริตคอรัปชั่น ล้วนเกิดขึ้นมาจากคนที่ขาดคุณธรรม เป็นผู้มีจิตใจอ่อนแอ หวั่นไหวต่ออำนาจสิ่งยั่วยวน หรือกิเลสได้ง่าย ผู้ที่ฝึกสมาธิย่อมมีจิตใจที่เข้มแข็ง มีคุณธรรมในใจสูง ถ้าแต่ละคนในสังคมต่างฝึกฝนอบรมใจของตนให้หนักแน่น มั่นคง ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้สังคมสงบสุขได้

      3.2 ทำให้เกิดควมมีระเบียบวินัย และเกิดความประหยัด ผู้ที่ฝึกใจให้ดีงามด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้รักมีระเบียบวินัย รักความสะอาด มีความเคารพกฎหมายของบ้านเมือง ดังนั้นบ้านเมืองเราก็จะสะอาดน่าอยู่ ไม่มีคนมักง่ายทิ้งขยะลงบนพื้นถนน จะข้ามถนน ก็เฉพาะตรงทางข้าม เป็นต้น เป็นเหตุให้ประเทศชาติไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ เวลาและกำลังเจ้าหน้าที่ ที่ต้องใช้ไปในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่มีระเบียบวินัยของประชาชน

      3.3 ทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า เมื่อสมาชิกในสังคมมีสุขภาพจิตดีรักความเจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ ในการทำงานสูง ย่อมส่งผลให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย และเมื่อมีกิจกรรมของส่วนรวม สมาชิกในสังคมก็ย่อมพร้อมที่จะสละความสุขส่วนตน ให้ความร่วมมือกับส่วนรวมอย่างเต็มที่ แม้มีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อสังคมมายุแหย่ให้เกิดความแตกแยก ก็จะไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะสมาชิกในสังคมเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น มีเหตุผล และเป็นผู้รักสงบ

4. การนั่งสมาธิผลต่อศาสนา คือ

      4.1 ทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้อยางถูกต้องและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา รวมทั้งรู้เห็นด้วยตัวเองว่าการฝึกสมาธิไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหากแต่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พ้น ทุกข์เข้าสู่นิพพานได้

      4.2 ทำให้เกิดศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย พร้อมที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระศาสนา อันจะเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ให้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง

       4.3 เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป เพราะตราบใดที่พุทธศาสนิกชน ยังตั้งใจปฏิบัติธรรม เจริญภาวนาอยู่ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ตราบนั้น

      4.4 จะเป็นกำลังส่งเสริมทะนุบำรุงศาสนา เพราะเมื่อเข้าใจซาบซึ้งถึงประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมด้วยตนเองแล้ว ย่อมจะชักชวนผู้อื่นให้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาตามไปด้วย เมื่อใดที่ทุกคนในสังคมตั้งใจปฏิบัติธรรม ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เมื่อนั้นย่อมหวังได้ว่าสันติสุขที่แท้จริงจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


แนวทางการฝึกสมาธิและการเจริญสติ
     มีแนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นฝึกปฏิบัติใหม่ เพื่อทดลองฝึกปฏิบัติ (หลังจากที่ได้อ่านแนวทางปฏิบัติทุกแนวแล้วยังงงๆ อยู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน อย่างไรดี) พอจะรวบรวมได้ ๑๖ ข้อ ดังนี้ คือ

๑. เริ่มจากตื่นนอนในแต่ละวัน ให้ฝึกทำสมาธิอย่างน้อยประมาณ๑๕-๓๐ นาที แล้วจึงค่อยเพิ่มจนถึง ๑ ชั่วโมงเป็นประจำ (อาจมีการสวดมนต์ไหว้พระด้วยหรือไม่ก็ได้) การทำสมาธิจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ได้ และคำบริกรรมที่ใช้แล้วแต่ถนัด เพื่อเริ่มฝึกจิตให้มีคุณภาพ

๒. ต่อด้วยการเจริญสติ คือระลึกรู้ในการทำกิจส่วนตัว เช่น อาบน้ำแปรงฟัน รับประทานอาหาร หรือพบปะพูดจา ฯลฯ ทำกิจได้ก็ให้มีสติระลึกรู้และตื่นตัวอยู่เสมอทุกๆ อิริยาบถ “เดินนับเท้า นอนนับท้อง จับจ้องลมหายใจ เคลื่อนไหวด้วยสติ” หัดรู้สึกตัวบ่อยๆ

๓. ให้ฝึกทำสมาธิ สลับกับการเจริญสติเช่นนี้ ทุกๆ ๑-๓ ชั่วโมง(ระยะเวลาอาจปรับสั้นยาวได้ตามความเหมาะสม) ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่า เป็นการปฏิบัติในแนวทางที่ถูก เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเจริญสติได้คล่องขึ้น ให้เพิ่มการเจริญสติให้มากกว่าการทำสมาธิ

๔. ศีลห้าและกุศลกรรมบถสิบอย่าให้ขาด และให้งดเว้นอบายมุขทุกชนิดตลอดชีวิต หากศีลข้อใดขาดให้สมาทานศีลห้าใหม่ทันทีโดยวิธีสมาทานวิรัติด้วยตนเอง เอาเจตนางดเว้นเป็นที่ตั้ง เพราะศีลเป็นบาทฐานของการปฏิบัติ

๕. ท่านที่มีภารกิจมากและต้องทำกิจการงานต่างๆ ที่จะต้องพบปะติดต่อกับบุคคลอื่นๆ ให้หมั่นสำรวม กาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ ให้มีสติระลึกรู้ อยู่กับงานนั้นๆ ขณะพูดเจรจาก็ให้มีสติระลึกรู้อยู่กับการพูดเจรจานั้นๆ ตลอดเวลา เมื่ออยู่ตามลำพังก็ให้เริ่มสมาธิหรือเจริญสติต่อไป

๖. เมื่อเริ่มฝึกใหม่ๆ  จะมีอาการเผลอสติบ่อยมาก และบางทีเจริญสติไม่ถูก หลงไปทำสมถะเข้า เรื่องนี้ในหนังสือวิมุตติปฏิปทาของท่านปราโมทย์ สันตยากร ท่านกล่าวว่า “ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานได้ จะต้องเตรียมจิตให้มีคุณภาพเสียก่อน ถ้าจิตไม่มีคุณภาพ คือรู้ตัวไม่เป็น จะรู้ปรมัตถธรรมไม่ได้ เมื่อไปเจริญสติเข้าก็จะกลายเป็นสมถะทุกคราวไป ฯลฯ” ดังนั้น จึงต้องฝึกรู้ตัวให้เป็น และเมื่อใดที่เผลอหรือคิด ใจลอยฟุ้งซ่านไป ก็ให้กลับมามีสติระลึกรู้อยู่กับสภาวะปัจจุบัน ขณะที่รู้ว่าเผลอหรือรู้ว่าคิดฟุ้งซ่าน ขณะนั้นก็เกิดการรู้ที่ถูกต้องแล้ว แต่ต้องไม่ใช่การกำหนดหรือน้อมและไม่ใช่ตั้งท่าหรือจ้องหรือเพ่ง

หากจิตมีอาการเกิดกามราคะ หรือโทสะที่รุนแรง ให้หันกลับมาอยู่กับการทำสมาธิแทนจนกว่าอาการจะหายไป แล้วเริ่มเจริญสติต่อไปใหม่ถ้าอาการยังไม่หายแสดงว่า ท่านไม่ได้อยู่กับสมาธิ ให้ตั้งใจปฏิบัติสมาธิให้มั่นใหม่อีกครั้ง จนกว่าจะสงบ ความสงบอยู่ที่การปล่อยวางจิตให้พอดี ตึงไปก็เลย หย่อนไปก็ไม่ถึง ต้องวางจิตให้พอดีๆ

๗. ขณะที่เข้าห้องน้ำถ่ายทุกข์หนัก-เบา หนาว-ร้อน หิว-กระหาย ก็ให้เจริญสติระลึกรู้ทุกครั้งไป

๘. ตอนกลางวัน  ควรหาหนังสือธรรมะมาอ่าน หรือฟังเทปธรรมะสลับการปฏิบัติ ถ้าเห็นว่ามีอาการเบื่อหรืออ่อนล้า อาการดังกล่าวอาจเกิดจากการตั้งใจเกินไป หรืออาจปฏิบัติไม่ถูกทางก็เป็นได้ ให้เฝ้าสังเกตและพิจารณาด้วย

๙. ให้มองโลกแง่ดีเสมอๆ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสตลอดทั้งวันไม่คิด พูด หรือทำในสิ่งอกุศล ไม่กล่าวร้ายผู้อื่น ให้พูด คิด แต่ส่วนที่ดีของเขา การพูด การคิดและทำ ก็ให้เป็นไปในกุศล คือ ทาน ศีล สมาธิ และภาวนาเท่านั้น (ไม่พูดดิรัจฉานกถา) พยายามประคับประคองรักษากุศลธรรมให้เกิดและให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นเรื่อยๆ บางทีบางโอกาสอาจเห็นความโกรธโดยไม่ตั้งใจ และเห็นการดับไปของความโกรธ ซึ่งความโกรธจะเกิดขึ้นเร็วมากแต่ตอนจะหายโกรธ กลับค่อยๆ เบาลงๆ แล้วหายไปอย่างช้าๆ เปรียบได้เหมือนกับการจุดไม้ขีดที่เริ่มจุดเปลวไฟจะลุกสว่างเร็วมาก แล้วจึงค่อยๆมอดดับลงไป นั่นแหละคือการเจริญวิปัสสนา และต่อไปจะทำให้กลายเป็นคนที่มีความโกรธน้อยลง จนการแสดงออกทางกายน้อยลงๆ จะเห็นแต่ความโกรธที่เกิดอยู่แต่ในจิตเท่านั้น

๑๐. ให้ประเมินผลทุกๆ ๑-๓ ชั่วโมง หรือวันละ ๓-๔ ครั้งและให้ทำทุกวัน ให้สังเกตดูตัวเองว่า เบากายเบาใจกว่าแต่ก่อนหรือไม่เพราะเหตุใด

๑๑. ก่อนนอนทุกคืน ให้อยู่กับสมาธิในอิริยาบถนอนตะแคงขวา(สีหไสยาสน์) หรือเจริญสติจนกว่าจะหลับทุกครั้งไป ถ้าไม่หลับให้นอนดู “รูปนอน” จนกว่าจะหลับ

๑๒. เมื่อประเมินผลแล้วให้สำรวจตรวจสอบ เป้าหมาย คือ การเพียรให้มีสติระลึกรู้อยู่อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ให้สังเกตดูว่ามีความก้าวหน้าอย่างไรบ้างหรือไม่ หากยังไม่ก้าวหน้า ต้องค้นหาสาเหตุแท้จริงแล้วรีบแก้ไขให้ตรวจสอบดูว่าท่านได้ปฏิบัติถูกทางหรือไม่ หาสัตบุรุษผู้รู้หรือกัลยาณมิตรเพื่อขอคำแนะนำ ไม่ควรขอคำแนะนำจากเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกัน เพราะอาจหลงทางได้

๑๓. ให้พยายามฝึกทำความเพียร เฝ้าใส่ใจในความรู้สึกให้แยบคาย(โยนิโสมนสิการ) พยายามแล้วพยายามอีก ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่คิดว่ายากมากๆ จนกลายเป็นง่าย และเกิดเป็นนิสัยประจำตัว

๑๔. จงอย่าพยายามสงสัย ให้เพียงแต่พยายามเฝ้าระลึกรู้ในปัจจุบันธรรมอยู่ในกายในจิต (รูป-นาม) กลุ่มปัญหาข้อสงสัยก็จะหมดความหมายไปเอง (หลวงปู่เทียน จิตฺตสุโภ ท่านว่า “คิดเป็นหนู รู้เป็นแมว”)  อย่าพยายามอยากได้ญาณ หรือมรรคผลนิพพานใดๆ ทั้งสิ้น ตัวของเราเองมีหน้าที่เพียงแต่ สร้างเหตุที่ดีเท่านั้น

นักปฏิบัติที่คิดมาก มีปัญหามาก เพราะไม่พยายามรู้ตัว และยังรู้ตัวไม่เป็น ไม่มีสติพิจารณาอยู่ในกายในจิตของตนเอง เอาแต่หลงไปกับสิ่งที่ถูกรู้ หรือไม่ก็ไปพยายามแก้อาการของจิต

ดังนั้นจึงให้พยายามรู้ตัวให้เป็นถ้ารู้เป็นจะต้องเห็นว่ามีสิ่งที่ถูกรู้กับมีผู้รู้ และให้พยายามมีสติพิจารณาอยู่แต่ภายในจิตของตนก็พอ ประการที่สำคัญอีกประการหนึ่งโปรดจำไว้ว่าให้รู้อารมณ์เท่านั้น อย่าพยายามไปแก้อารมณ์ที่เกิดขึ้น (วิมุตติปฏิปทา)

๑๕. จงอย่าคิดเอาเองว่า ตนเองยังมีบุญวาสนาน้อย ขอทำบุญทำทานไปก่อน หรืออินทรีย์ของตัวยังอ่อนเกินไป คิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง จงอย่าดูหมิ่นตัวเอง เมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติหรือเจริญสติใหม่ๆ จะเกิดการเผลอสติบ่อยๆจะเป็นอยู่หลายเดือน หรือบางทีอาจหลายปี แต่ฝึกบ่อยๆ เข้าก็จะค่อยๆระลึกรู้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขอให้พยายามทำความเพียรต่อไป ถ้าผิดก็เริ่มใหม่เพราะขณะใดที่รู้ว่าผิด ขณะนั้นจะเกิดการรู้ที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

ประการที่สำคัญ คือ ต้องเลิกเชื่อมงคลตื่นข่าว และต้องไม่แสวงบุญนอกศาสนา จงอยู่แต่ใน ทาน ศีล สมาธิและภาวนา (บุญกิริยาวัตถุสิบ) ก็พอ

๑๖. จงพยายามทำตนให้หนักแน่นและกว้างใหญ่ดุจแผ่นดินและผืนน้ำที่สามารถรองรับได้ทั้งสิ่งของที่สะอาดและโสโครก ซึ่งแผ่นดินและผืนน้ำรักชังใครไม่เป็น คือทั้งไม่ยินดี (สิ่งของที่สะอาด) และไม่ยินร้าย (ของโสโครก) ใดๆ วางใจให้เป็นกลางๆ ให้ได้ ความสำเร็จก็อยู่ที่ตรงนี้
ท่านที่รู้ตัวได้ชำนิชำนาญขึ้นแล้ว
การเจริญสตินั่นแหละจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะหาอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์มาเป็นเครื่องมืออยู่ที่ถนัด (วิหารธรรม) ให้จิตมีสติเฝ้ารู้อย่างต่อเนื่อง


หลวงพ่อชา สุภัทโท    ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ท่อนซุงที่ลอยล่องไประหว่างสองฝั่ง ถ้าไม่ติดอยู่ข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ไม่ช้าก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน”
แต่ถ้าลอยไปติดอยู่กับฝั่งใด (กามสุขัลลิกานุโยค หรือความยินดี)ฝั่งหนึ่ง (อัตตกิลมถานุโยค หรือความยินร้าย) ไม่ช้าก็คงกลายเป็นซุงผุใช้การไม่ได้เป็นแน่



ข้อแนะนำในการนั่งสมาธิ 
    ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ ทำอย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันมิให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง และเมื่อการฝึกสมาธิบังเกิดผลจนได้ดวงปฐมมรรค ที่ใสเกินใส สวยเกินสวย ติดสนิทมั่นคงที่ศูนย์กลางกายแล้ว ให้หมั่นตรึกระลึกถึงอยู่เสมอ

    อย่างนี้แล้ว ผลแห่งสมาธิจะทำให้ชีวิตดำรงอยู่บนเส้นทางแห่งความสุข ความสำเร็จ และความไม่ประมาทตลอดไป ทั้งยังจะทำให้สมาธิละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับอีกด้วย

เทคนิคเบื้องต้นในการนั่งสมาธิ 
 1. หลับตาเบาๆ ผนังตาปิด 90%

2. อย่าบังคับใจ เพียงตั้งสติ วางใจเบาๆ ณ ศูนย์กลางกาย กำหนดนิมิตเป็น...

ดวงแก้วใสๆ...เบาๆ
องค์พระใสๆ...เบาๆ
ลมหายใจ เข้า-ออก...เบาๆ
อาการท้อง พอง-ยุบ...เบาๆ
เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

3. กำหนดนิมิต นึกนิมิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกุศโลบายล่อใจให้เข้ามาตั้งมั่นในกาย

4. เมื่อใจเข้ามาหยุดนิ่งในกาย การกำหนดนิมิตก็หยุดโดยอัตโนมัติ

5. รับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในกายและจิตใจ ด้วยความสงบ

6. อยู่ในความดูแลของกัลยาณมิตรอย่างใกล้ชิด


ข้อควรระวังในการนั่งสมาธิ

1. อย่าใช้กำลัง คือ ไม่ใช้กำลังใดๆทั้งสิ้น เช่น ไม่บีบกล้ามเนื้อตา เพื่อจะให้เห็นนิมิตเร็วๆ ไม่เกร็งแขน ไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่เกร็งตัว ฯลฯ เพราะการใช้กำลังตรงส่วนใดของร่างการก็ตาม จะทำให้จิตเคลื่อนจากศูนย์กลางกายไปสู่จุดนั้น

2. อย่าอยากเห็น คือ ทำใจให้เป็นกลาง ประคองสติมิให้เผลอจากบริกรรมภาวนา และบริกรรมนิมิต ส่วนจะเห็นนิมิตเมื่อใดนั้น อย่ากังวล ถ้าถึงเวลาแล้วย่อมเห็นเอง การบังเกิดของดวงนิมิตนั้น อุปมาเสมือนการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ เราไม่อาจจะเร่งเวลาได้

3. อย่ากังวลถึงการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพราะการฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน อาศัยการนึกถึง อาโลกกสิณ คือ กสิณความสว่าง เป็นบาทเบื้องต้น

4. เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ให้ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เช่น ยืน เดิน นอน หรือนั่ง อย่าย้ายฐานที่ตั้งจิตไปไว้ที่อื่นเป็นอันขาด ให้ตั้งใจบริกรรมภาวนา พร้อมกับนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใส หรือองค์พระแก้วใส ควบคู่กันไปตลอด

5. นิมิตต่างๆที่เกิดขึ้น จะต้องน้อมไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดทั้งหมด ถ้านิมิตเกิดขึ้นแล้วหายไป ก็ไม่ต้องตามหา ให้ภาวนาประคองใจต่อไปตามปกติ ในที่สุดเมื่อจิตสงบ นิมิตย่อมปรากฏขึ้นมาใหม่อีก

เคล็ดลับการฝึกสมาธิ

    สมาธินับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อทุกคน คือ ถ้าเด็กมีสมาธิก็จะเรียนเก่ง มีความจำดีและคิดเก่ง ถ้าคนทำงานมีสมาธิก็จะทำให้ทำการงานได้ดี หรือแม้ นักวิปัสสนาถ้ามีสมาธิก็จะทำให้เกิดปัญญาขั้นเห็นแจ้งและดับทุกข์ได้ 
    แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ฝึกสมาธิไม่สามารถฝึกจิตให้เกิดสมาธิได้นั้นก็คือ “ความไม่เข้าใจว่าสมาธิคืออะไรและจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?” ถ้าผู้ฝึกสมาธิจะเข้าใจว่าสมาธิคืออะไร และจะเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว การฝึกสมาธิของเขาก็จะง่ายและเกิดขึ้นเร็วได้อีกด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่รู้ว่าสมาธินั้นแท้จริงเป็นอย่างไรและเคล็ดลับในการฝึกเป็นอย่างไรแล้ว การฝึกสมาธิก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ ดังนั้นเราจะมาเรียนรู้เคล็ดลับในการฝึกสมาธิกันต่อไป 
    ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจคำว่า “สมาธิ”ก่อน คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ คือหมายถึง อาการที่จิตเพ่ง (หรือจดจ่อ หรือกำหนด หรือจับติด)อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลาได้นานๆอย่างต่อเนื่อง จนจิตเกิดความสงบ, ตั้งมั่น, ปลอดโปร่งแจ่มใส, อ่อนโยน, และเกิดความสุขที่สงบ หรือความเบาสบาย ไม่มีความทุกข์ใดๆขึ้นมา 
    เรามักเข้าใจกันว่าเมื่อจิตมีสมาธิแล้วจิตจะสงบนิ่งหรือตั้งมั่นโดยไม่มีความคิดใดๆเลยหรือไม่รับรู้สิ่งภายนอกเลย ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะนั่นเป็นสมาธิที่สูงเกินความจำเป็น(คือใช้งานอะไรไม่ได้)และฝึกได้ยาก ดังนั้นเราจึงไม่ควรสนใจ ซึ่งสมาธิที่เป็นประโยชน์นั้นจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง คือเป็นการตั้งใจคิด หรือพูด หรือทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น ในการกำหนดรู้ถึงหายใจของร่างกาย หรือเพ่งอยู่ในการคิด ในการอ่าน การเขียน การฟัง การพูด หรือในการทำการงานที่ดีงามทั้งหลายเป็นต้น 
    สมาธิที่ถูกต้องจะมีลักษณะ ๓ อย่างให้สังเกตได้ คือ 
    ๑. บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลส(ยินดี ยินร้าย ลังเลใจ) ไม่มีนิวรณ์(ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆหรือความหดหู่ เซื่องซึม เป็นต้นที่จัดเป็นพวกกิเลสอ่อนๆ) 
    ๒. ตั้งมั่น คือจิตจะสงบ มั่นคง เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอไปตามสิ่งที่มายั่วยวนให้ยินดีหรือยินร้ายหรือลังเลใจก็ตาม 
    ๓. อ่อนโยน คือจะควบคุมได้ง่าย จะให้คิดเรื่องอะไรก็ได้ เพราะไม่ดื้อรั้นเอาแต่ใจเหมือนตอนถูกกิเลสครอบงำ รวมทั้งจะมีสติที่สมบูรณ์อีกด้วย 
    เมื่อจิตบริสุทธิจากกิเลส ก็เท่ากับขณะนั้นจิตหลุดพ้นจากกิเลสจิตก็จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อจิตไม่เป็นทุกข์มันก็ย่อมที่จะสงบเย็น ดังนั้นสมาธิจึงมีผลดีหรือมีประโยชน์อย่างยิ่งตรงที่มันช่วยดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้ตราบเท่าที่จิตยังมีสมาธิอยู่ และยังมีของแถมก็คือเมื่อจิตมีสมาธิมันก็จะมีความสุขที่สงบเกิดขึ้นมาด้วยเสมอ ซึ่งความสุขที่สงบนี้จะเหนือความสุขจากเรื่องกามารมณ์จนทำให้ผู้ที่มีสมาธิจะไม่ติดใจในกามสุขได้ 
    สมาธิจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? จิตจะเกิดสมาธิได้ จิตจะต้องตั้งใจเพ่ง(หรือจดจ่อ)อยู่แต่ในสิ่งที่เพ่งนั้นได้นานๆ ซึ่งการที่จะให้จิตเพ่งอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆนั้น สิ่งที่เพ่งนั้นจะต้องเพ่งแล้วเกิดความสุขที่สงบ ถ้าเพ่งแล้วไม่เกิดความสุขที่สงบ หรือเพ่งแล้วเกิดความทุกข์ จิตก็จะไม่เกิดสมาธิ 
    แล้วอะไรคือสิ่งที่เพ่งแล้วทำให้จิตเกิดความสุขที่สงบ? ซึ่งคำตอบก็คือ “สิ่งที่ดีงามและจิตชอบ” ซึ่งสิ่งที่ดีงามก็คือสิ่งเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น รวมทั้งไม่เป็นโทษด้วย ส่วนสิ่งที่จิตชอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจิตของใครจะชอบอะไร ถ้าใครชอบอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ให้เลือกเพ่งสิ่งนั้นจิตจึงจะเกิดสมาธิได้ง่าย แต่ถ้าให้ไปเพ่งสิ่งที่แม้จะเป็นประโยชน์ แต่ว่าจิตไม่ชอบมันก็เป็นสมาธิได้ยาก เพราะมันฝืนจิตใจ ซึ่งนี่คือเคล็ดลับของการฝึกให้จิตเกิดสมาธิได้ง่ายและเร็ว 
    บางคนชอบการอ่านหนังสือ ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบการเรียน ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบการเขียนก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบคิดค้น ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบพูด ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบทำงาน ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ คือใครชอบอะไรที่ไม่เป็นโทษและเป็นประโยชน์ก็เอาสิ่งนั้นมาตั้งใจกำหนดรู้หรือเพ่งให้ต่อเนื่อง คือทำให้ติดต่อกันเป็นสายไม่ขาดตอนตลอดเวลา ก็จะทำให้การกำหนดรู้หรือเพ่งนั้นทำให้จิตเกิดสมาธิขึ้นมาได้โดยง่าย 
    เด็กสมัยนี้ส่วนมากมีสมาธิสั้นก็เพราะเขาไม่ได้รับการฝึกให้คิด หรือพูด หรือทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์และเขาชอบมาก่อนอย่างเพียงพอ เราปล่อยให้เด็กเล่นสนุกตามใจชอบอย่างไร้สาระมากเกินไป จนเด็กเคยชินและติดจนกลายเป็นนิสัยที่เลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ยากไปในที่สุด และเมื่อมีสมาธิสั้น มันก็ส่งผลถึงการเรียนและพฤติกรรมของเด็ก แล้วก็สร้างปัญหาให้กับตัวเด็กเองและสังคมไปในที่สุด แต่ถ้าเราจะมาสนใจฝึกให้เด็กมีสมาธิกันตั้งแต่ยังเล็กๆอย่างถูกต้อง ต่อไปเด็กก็จะโตขึ้นเป็นเด็กที่มีสมาธิมากและก็จะส่งผลทำให้เป็นเด็กที่เรียนเก่งและเป็นคนดีของสังคมได้โดยง่าย 
    ถ้าเราจะฝึกสมาธิหรือจะฝึกให้เด็กมีสมาธิ เราก็ต้องหาอะไรที่ดีงามหรือเป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกชอบด้วยมาฝึกทำด้วยความตั้งใจ ซึ่งก็อาจจะเป็นการเล่นเกมส์อะไรที่ใช้ความคิด หรือการเล่นอะไรที่ต้องใช้สมอง หรือแม้การฝึกให้เด็กแสดงออก เช่นการพูด การร้องเพลง การเขียน การวาดรูป การปลูกต้นไม้ การประดิษฐ์คิดค้น เป็นต้น หรือแม้การฝึกให้เด็กได้ทำงานที่เด็กพอจะทำได้ก็ซึ่งถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องฝึกกันมาตั้งแต่เด็กยังเล็กเลยจะดีที่สุด เพราะเมื่อจิตของเด็กยังว่างอยู่ ถ้าจิตของเด็กจะได้รับอะไรมาในครั้งแรก จิตของเด็กก็จะรับเอาสิ่งนั้นมาพัฒนาให้เจริญงอกงามจนเต็มจิตใจ และยากที่สิ่งอื่นที่ตรงข้ามจะเจริญขึ้นมาแทนที่ได้ 
    การฝึกพูดหรือบรรยายนับเป็นการฝึกที่สมาธิที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะการพูดนั้นก็ต้องใช้สมาธิในการพูดมากและยังต้องใช้ความรู้จากการอ่านมา หรือฟังมา หรือคิดมาเพื่อมาใช้พูดอีก การพูดจึงนับเป็นการฝึกสมาธิที่ดีอย่างมากที่ทุกคนควรฝึกพูดให้ได้ เพราะเป็นทั้งการฝึกสมาธิและสร้างปัญญาไปพร้อมกัน เราจึงควรส่งเสริมให้เด็กฝึกพูดเพื่อเสริมสร้างสมาธิและปัญญาให้กับเด็กด้วยอีกวิธีหนึ่ง 
    การฝึกสมาธิที่สอนให้นั่งหลับตาและกำหนดลมหายใจพร้อมทั้งให้หยุดความคิดนั้นเป็นการฝึกที่ยาก เพราะจิตมันไม่ชอบให้บังคับมัน มันจะรู้สึกทรมานหรืออึดอัดมากเมื่อถูกบังคับให้ขาดอิสรภาพ มันจึงมักจะยิ่งฟุ้งซ่านหนักเข้าไปอีก จนผู้ฝึกท้อถอยเอาได้ง่ายๆ ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก คือต้องอดทนฝึกไปนานๆจิตจึงจะอ่อนลงและเกิดสมาธิขึ้นมาได้ การฝึกเช่นนี้จึงไม่ค่อยจะได้ผลคือทั้งไม่เกิดสมาธิและผู้คนเบื่อหน่ายไม่สนใจจะฝึก 
    สำหรับผู้ที่ทนฝึกสมาธิวิธีเก่าๆมาจนท้อแท้แล้วก็มาลองใช้วิธีการฝึกพูดหรือบรรยายความรู้ที่ตนเองมีให้คนอื่นฟังดู โดยอาจจะฝึกพูดคนเดียวแต่ก็พูดให้เหมือนกับว่ามีคนจำนวนมากฟังอยู่จริงๆก็ได้ ซึ่งการพูดก็ต้องตั้งใจพูดอย่างที่สุด และพูดช้าๆด้วยประโยคสั้นๆ โดยอาจจะพูดเฉพาะขณะที่หายใจออก แต่พอหายใจเข้าจะหยุดพูดก็ได้ (ถ้าพูดเร็วและติดต่อกันอาจจะทำให้เสียสมาธิได้ง่ายถ้ายังไม่ชำนาญ) ถ้าฝึกพูดคนเดียวได้สักพักจิตก็จะสงบ ตั้งมั่น เบาสบาย สดชื่น แจ่มใส เย็นใจ และมีความอิ่มเอมใจรวมทั้งมีความสุขที่ประณีตเกิดขึ้นมาทันที ซึ่งนั่นแสดงว่าจิตเกิดสมาธิขั้นต้นขึ้นมาแล้วอย่างแท้จริง และถ้าฝึกต่อไปเรื่อยๆจิตก็จะเกิดสมาธิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆของมันเอง (คือจิตจะสงบตั้งมั่นมากขึ้น โดยความอิ่มเอมใจกับความสุขที่ประณีตก็จะค่อยๆหายไป จะเหลืออยู่แต่จิตที่ตั้งมั่นอยู่กับความสงบเย็นเท่านั้น) ส่วนอิริยาบถในการฝึกนั้นอาจจะเดินไปพูดไป หรือนั่งหรือยืนพูดก็ได้ตามสะดวก 
    สำหรับนักวิปัสสนานั้นเรื่องที่ใช้พูดก็ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดับทุกข์ คือเรื่องอนิจจัง(ความไม่เที่ยง) ทุกขัง(สภาพที่ต้องทนอยู่)และอนัตตา(สภาวะที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง) ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า ลองทำดูแล้วจะพบว่านอกจากจะทำให้จิตเกิดสมาธิได้ง่ายแล้วยังทำให้เกิดปัญญาแตกฉานขึ้นอีกด้วย (แต่การพูดคนเดียวก็ต้องระวังว่าถ้ามีคนอื่นมาพบเข้าเขาก็จะหาว่าเราบ้าเอาได้ แต่ก็อย่าไปสนใจเพราะคนบ้าจะมีสุขบ้างทุกข์บ้าง แต่เรามีแต่ความสุข ดังนั้นคนที่มาว่าเราบ้านั่นเองที่กลับเป็นคนบ้าเสียเอง) 
    พื้นฐานสำคัญของการฝึกสมาธิก็คือ ต้องมีศีล ซึ่งศีลก็คือการเป็นคนดีทั้งทางกายและวาจา คือ ไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดในเรื่องกามารมณ์ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียดหรือยุยงให้แตกความสามัคคี และไม่พูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ ถ้าใครปรกติเป็นคนดีอยู่แล้วก็ฝึกให้เกิดสมาธิได้ง่าย ส่วนใครที่ปรกติไม่ค่อยจะมีศีลก็หันมาตั้งในรักษาศีลเอาเองได้ 
    ส่วนนักวิปัสสนานั้นจำเป็นที่จะต้องมีปัญญามาเป็นพื้นฐานอีกด้วย ซึ่งปัญญาก็คือความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ถ้าใครมีความรู้นี้อย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถเอาเรื่องอริยสัจ ๔ นี้มาฝึกคิด หรือฝึกพูดให้เกิดสมาธิได้ทันที แต่ถ้าใครยังไม่มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ นี้อย่างถูกต้อง ก็ต้องไปศึกษามาก่อนให้เข้าใจ (สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net หรือ www.whatami.co.cc ) 
    การฝึกสมาธินี้จะต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ คือเราสามารถปฏิบัติหรือฝึกสมาธิไปพร้อมๆกับการเรียน หรือการทำหน้าที่การงานของเราได้ตลอดเวลาถ้าชำนาญแล้ว แต่ถ้ายังไม่ชำนาญก็ต้องหาสถานที่และเวลาเพื่อฝึกฝนก่อน เมื่อชำนาญแล้วก็สามารถปฏิบัติกิจวัตรของเราไปพร้อมๆกับมีสมาธิไปด้วยได้ แล้วก็มีความสุขสงบและความสงบเย็นพร้อมกับไม่มีทุกข์ไปด้วย

    เตชปญฺโญ ภิกขุ
    อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
    ๒๕ สิหาคม ๒๕๕๐
    (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)

+++ ความลับของคนรวย ที่คนรวยไม่เคยบอกคุณ จากรายการ อายุน้อย 100 ล้าน

ความลับของคนรวย ที่คนรวยไม่เคยบอกคุณ
กระทู้สนทนา
เจ้าของธุรกิจ
ขั้นตอนเป็นคนรวย

1. เปลี่ยนความคิด เรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน

- รายรับ คือ เอาเงินเข้ากระเป๋าตังค์ เรียกว่า ทรัพย์สิน

- รายจ่าย คือ เอาเงินออกจากกระเป๋าตังค์เรียกว่า หนี้สิน

2. แยกให้ออกว่าอะไรเป็นทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า หรือเสื่อมมูลค่า

- ทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า คือ ได้มาแล้วเพิ่มมูลค่าให้เรา เช่น ** ซื้อที่ดินมา 5 แสนบาท ทิ้งไว้ 1 ปี ขายได้ 6 แสนบาท ** ซื้อทองมา 1 บาท ราคา 11800 บาท เก็บไว้ 1 ปี ราคา 12500 บาท ** ซื้อบ้านมาให้คนอื่นเช่า เป็นต้น

- ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลง เช่น

** ซื้อรถยนต์มาราคา 6 แสนบาท ขับได้ 3 ปี ขายได้ 3 3 แสน มูลค่าลดลง 3 แสนบาท แถมต้องเติมน้ำมันอีก

** ซื้อโทรศัพท์มาราคา 12000 บาท เวลาขายคืนได้แค่ 4500 บาท ไหนจะเสียค่าโทรอีก

** ซื้อมอเตอร์ไซด์ 5 หมื่นบาท เวลาขายต่อ 2 หมื่น ยังหาคนซื้อต่อยากเลย

***** ซื้อที่ ซื้อทอง เอาเงินฝากธนาคาร ต้องเสียเงินซื้อถ่าน เติมน้ำมัน ใส่น้ำ หรือเสียบปลั๊กหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ต้องก็แสดงว่าเป็นทรัพย์สิน และมันต้องเพิ่มมูลค่าไปเรื่อยๆนะครับ

***** ซื้อถ้วยโถโอชามของ รักของสะสม ไม่ต้องเติมน้ำมัน ไม่ใส่ถ่าน ไม่เสียบปลั๊กให้มันก็จริง วันนึงขายจะได้กำไรมากกว่าฝากธนาคารไหมครับ ถ้าไม่มันก็จะเป็นทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า หรือไม่ก็แค่มีค่าทางจิตใจ บางทีก็เป็นแค่ ขยะรกบ้านเราเท่านั้นเองนะครับ ขายใครก็ไม่มีใครเอา เพราะเราสะสมคนละรสนิยมกัน

3. ลดรายจ่าย ตัวเอง และครอบครัวก่อน

หลายคนคิดว่า ถ้าจะรวยต้องหารายได้ เพิ่มแต่เพียงอย่างเดียว เป็นความคิดที่ล้าสมัยแล้วครับ สิ่งเดียวที่ทำได้ก่อนหารายได้ คือการลดรายจ่าย เริ่มจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นกับ ตัวเราเองก่อน เราใช้เงินวันละเท่าไร และสิ่งที่เราใช้มีประโยชน์ ผลตอบแทน หรือคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน รายจ่ายอะไรที่เราลดได้ลดได้เท่าไร วิธีการลดทำอย่างไรต่างหาก ที่ทำได้ง่ายที่สุด ต่อมาหาทางลดรายจ่ายของครอบครัวครับ แล้วค่อยไปขั้นตอนหารายได้เพิ่ม อย่าลืมนะครับ ลดรายจ่ายก่อนหารายได้ครับ

*** หลักการง่ายๆของการลดรายจ่ายมีหลายแบบครับ

- ลดความสมบูรณ์แบบของชีวิต

ชีวิตของแต่ละคนจำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้านหรือไม่ครับลองนึกดูนะ เราจำเป็นต้องใช้สิ่งของที่สามารถทำทุกอย่างได้ในตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่ต้องถ่ายรูปได้ ฟังเพลงได้ ส่ง MMS ได้ ต่อ INTERNET ได้ สายเข้าเป็นเสียงเพลงได้ หรือเปล่าครับถามตัวเราเองว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะลำบากไหมครับ ตอบแทนก็ได้นะครับ แทบไม่ลำบากเลย แต่การมีสิ่งเหล่านี้ซิลำบาก ลำบากอย่างไรหรือครับ โทรศัพท์ที่ทำได้ครบทุกอย่างที่ว่ามา ราคาเท่าไรครับ หมื่นกว่าบาท หลายคนต้องผ่อน เดือนละพันกว่าบาท ถามว่าแล้วใช้สิ่งที่ว่ามาวันละกี่ครั้งครับ แล้วใช้เพื่อประโยชน์อะไรครับเพื่อความบันเทิง เพื่อความเท่ หรือเพื่อให้รูว่าฉันก็มีเหมือนกัน หรือฉันมีดีกว่าของเธอ บางคนซื้อมาทำอะไรไม่เป็นครับ โทรเป็นอย่างเดียวแบบนี้เรียกว่าไม่คุ้มค่าเอามากๆ เครื่องละพันกว่าบาทก็ทำได้ครับไม่ต้องเสียตังค์เป็นหมื่นด้วยครับ

- ลดต้นทุนชีวิต ลดต้นทุนชีวิต

จะคล้ายๆกับลดคุณภาพชีวิตนั้นแหละครับข้อนี้ต้องทดลองทดสอบดูนะ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวสารที่คุณซื้อมาหุงทานอยู่ทุกวันนี้เป็นข้าวหอมมะลิอย่างดี ราคา 5 กิโล 105 บาท คุณลองหาข้าวสารที่ราคาถูกกว่านี้ แต่ความอร่อยใกล้เคียงเดิมแต่ราคาถูกลง มาทาน หากคุณลองซื้อมาแล้วคุณทานได้ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ราคา 85 บาท คุณลดต้นทุนชีวิตคุณได้ ต่อข้าวสาร 5 กิโล 20 บาทแล้วนะครับ แล้วเดือนหนึ่งครอบครัวคุณทานข้าวกี่กิโลครับลองคิดดู

4. หารายได้เพิ่ม

การหารายได้เพิ่มมีหลายช่องทางครับ เช่น ทำ OT. ซื้อของมาขาย เอาเงินฝากธนาคาร เล่นหุ้น ทำกิจการส่วนตัว แล้วแต่จะทำกันนะครับ สิ่งที่สำคัญในการหารายได้เพิ่ม คือความรู้ เราต้องรู้ก่อนว่าช่องทางนั้นๆ เราจะมีผลได้ผลเสียอย่างไร จะไม่สำเร็จได้หากเราไม่มีความรู้เรื่องนั้นๆ มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการหารายได้เพิ่มไว้ดังนี้ครับ

*** ต้องกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ ไม่ใช่กำไรตอนขาย

*** ตัวอย่างเช่น เราซื้อทองมาเก็บไว้ 1 ปี เรามีกำไลแน่ๆเพราะทองส่วนมากมีแต่ขึ้นไม่ค่อยจะลดเท่าไร แต่ต้องเป็นทองคำแท่งนะครับไม่ใช่ทองรูปพรรณ เนื่องจากทองคำแท่งไม่ต้องเสียค่ากำเน็จครับ อะไรที่ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อนะหรือครับ อะไรก็ได้ที่ซื้อด้วยอารมณ์ ไม่ได้ซื้อด้วยเหตุผลครับ เพราะซื้อแล้วใช้ประโยชน์ไม่คุ้มขายต่อราคาตกแน่ๆครับ ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อ

*** ใช้สมองหารายได้ ***

เงินอยู่ระหว่างทางที่เราผ่านไป ผ่านมาทุกวัน แต่เราไม่สามารถเก็บได้ เพราะเราไม่รู้วิธีเก็บ มาเป็นของเราเท่านั้นเอง เป็นคำกล่าวที่เฉียบคมมากครับ การที่เราจะรายได้เพิ่มนั้นนอกจากเราจะต้องมีความรู้แล้ว เราต้องมีความคิดที่ดีพอที่จะหารายได้ด้วยนะครับ หลายคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ รู้อย่างเดียวว่าต้องใช้เงินลงทุน ไม่คิดว่าเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรมา บางคนไปกู้เงินมาลงทุน ไหนจะต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ ไหนจะต้องรับ ภาระปัญหากิจการอีกหลายอย่าง กิจการล้มไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้วครับ ถ้าเป็นเงินเย็นก็ดีไปล้มก็ไม่ต้องเป็นภาระใช้หนี้สินต่อ เริ่มต้นใหม่ได้ไม่ยาก

**** มีข้อแนะนำครับ ****

เราอย่าพึ่งคิดว่าเราจะต้องเป็นเจ้าของกิจการอะไร เพียงแต่เราคิดว่าเราลงทุนอะไร ได้ผลตอบแทนคุ้มกับเงินที่เราลงทุนหรือไม่ ดีกว่า

ตัวอย่างเช่น เราซื้อของมาขายชิ้นหนึ่งต้นทุน 20 บาท เราขายในราคา 25 บาทกำไล 5 บาท ได้กำไร 25 % เชียวนะครับ

ค่อยๆ ทำ ค่อยๆฝึก คนรวยเคยกล่าวไว้ว่า ก้าวแรกของการทำธุรกิจคือ ก้าวเล็กๆ ของเด็กน้อยนะครับ เพราะเด็กน้อยจะค่อยๆก้าว ค่อยๆก้าว ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป มั่นใจกว่ากันเยอะครับ

ขอเพียงแค่เรามีความรู้ ความพยายาม ก็จะไปได้ดีครับ

เมื่อเราชำนาญ มีประสบการณ์แล้วค่อยก้าวแบบผู้ใหญ่ครับ ก็ไม่สายครับ

กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จ ภายในวันเดียว

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

+++ เตรียมความพร้อม...สำหรับการเข้าสู่ สนาม US Option

http://finance.yahoo.com/options/lists/?mod_id=mediaquotesoptions&tab=tab1&scol=vol&stype=desc&rcnt=100&page=3  

รวบรวมรายชื่อ Option ที่น่าสนใจ โดยเน้น ตัวที่ High Volume ไปลองเข้าระบบก่อน

จัด รายชื่อหุ้น (Option) ที่สนใจเข้า AmiQuote เพื่อใช้ load data real time เข้ามาด้วย

ออกแบบ Model สำหรับแจ้งเตือน และบอก ADX ใช้ tf 30 ขึ้นไปพอ