วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

+++ VIX INDEX หรือดัชนีความกลัว กราฟล่าสุด...25-jan-2014


VIX INDEX หรือดัชนีความกลัว กราฟล่าสุด...25-jan-2014 

     VIX Index เป็นตัววัด Implied Volatility หรือเรียกสั้นๆว่า IV ของตราสารอนุพันธ์ประเภทออปชั่น (Options) บนสินทรัพย์อ้างอิงคือ S&P 500 Index IV คือค่า Volatility ที่คำนวณจากราคาออปชั่นทั้ง Put และ Call ที่มี Strike Price หลายๆ ค่าดัชนีที่สำคัญที่นักลงทุนควรจับตามองตัวหนึ่งคือ VIX Index หรือ Fear Index ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ VIX Index เป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงความกลัวกับความไม่มั่นใจของนักลงทุนในตลาดยิ่งมีค่า VIX สูง ก็แสดงว่ายิ่งกลัวและยิ่งไม่มั่นใจ 

     VIX นั่นก็คือ Chicago Board Options Exchange Market Volatility Index นั่นเอง ดัชนีนี้จะแสดงถึงการคาดการความผันผวนของดัชนี้ S&P500 ในอีก 30 วันข้างหน้า ซึ่ง VIX ถูกคิดค้นโดยศาสตรจารย์ Robert Whaley แห่งมหาวิทยาลัย Vanderbilt ในปี 1993 ซึ่งดัชนี VIX มักถูกใช้ในการวัดระดับความกลัวของนักลงทุนในตลาดนั่นเอง

     โดยทั่วไปค่า Volatility จะหมายถึง Historical Volatility ซึ่งคำนวณจากราคาย้อนหลังประมาณ250 วันทำการตามคำแนะนำของ Bank for InternationalSettlements (BIS) แต่ค่า IVเป็นค่า Volatilityของข้อมูล ณ วันที่ทำการคำนวณ เราเรียก Volatility ทั้ง 2 ประเภทรวมกันสั้นๆว่า Vol (โว)

ออปชั่นคือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในราคาที่ตกลงกันไว้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ

  • Put options คือ สิทธิ์ที่จะขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  • และ Call options คือ สิทธิ์ที่จะซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

     จากทฤษฎี Option ของ Black-Scholes ค่า Volatility มีผลต่อราคาของออปชั่นอย่างมาก ถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า "ถ้าคุณซื้อ Option เท่ากับคุณซื้อ Vol" ดังนั้นเมื่อนักลงทุนเกิดความกังวลต่อทิศทางของตลาดหุ้น เช่น มีความกังวลว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงก็จะทำการล๊อคราคาล่วงหน้าผ่านออปชั่น เมื่อมีแรงซื้อออปชั่นมากๆ ราคาออปชั่นก็จะสูงขึ้น (ค่า Vol สูงตามไปด้วย)
     ความหมายของ VIX Index ในอดีตคือ ถ้า VIX มีค่าสูงหุ้นจะลง แต่ถ้า VIX มีค่าน้อยหุ้นจะขึ้น จึงเป็นที่มาของคำว่า Fear Index แต่ในความเป็นจริงในปัจจุบันค่าVIX ที่สูงไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะลงเพียงอย่างเดียว หากจะหมายถึงหุ้นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทิศทางด้วยเช่น หุ้นอยู่ในช่วงขาลง (หรือขึ้น) แต่นักลงทุนคาดคะเนว่าหุ้นน่าจะขึ้น(หรือลง) จึงเข้าไปล๊อค ราคาหุ้นผ่านออปชั่นทำให้ค่า VIX สูงขึ้น 

     กราฟ VIX มาให้ดูกันครับ ดัชนี VIX คือดัชนีที่ถ้าให้พูดตามภาษาชาวบ้านแล้ว ก็คือดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงความกลัวกับความไม่มั่นใจของนักลงทุน ยิ่งสูง ก็แสดงว่ายิ่งกลัวและยิ่งไม่มั่นใจ ตอน crisis ปี 2008 ดัชนีตัวนี้ ก็อยู่แถวๆ 20 ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปถึง 80

ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก 

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

+++ MACD EMA Amibroker Indicator

_SECTION_BEGIN("MACDval");
r1 = Optimize( "Fast avg", 12, 2, 34, 1 );
r2 = Optimize( "Slow avg", 26, 2, 55, 1 );
r3 = Optimize( "Signal avg", 9, 2, 21, 1 );
Periods1 = Optimize("Periods", 15, 3, 30, 3);
Periods2 = Optimize("Periods", 15, 150, 300,20);

dynamic_color = IIf( MACD() > 0, colorGreen, colorRed );
Plot( MACD(), "MACD(r1,r2)", dynamic_color, styleHistogram | styleThick  );


_SECTION_BEGIN("SIGNALval");
P = ParamField("Price field",-1);
Plot( EMA( MACD(r1,r2),r3 ),"signal 9",colorYellow,styleHistogram |styleThick, ParamStyle("Style") );

//----------------------------------------------------------------------------------------------------
//||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
//----------------------------------------------------------------------------------------------------


// TRADE RULES require a "price Chart"


MACDval = MACD(r1,r2);
EMAval  = EMA(Close,Periods1 );
Signalval = Cross(EMAval,MACDval);


Buy =  C > EMA(Close,Periods2 ) AND Ref(MACDval,-1) < MACDval AND MACDval < 0;

Sell= Signalval;

Buy= ExRem(Buy,Sell);
Sell= ExRem(Buy,Sell);

Short = Sell;
Cover = Buy;

+++ Advance Auto Trend Line


_SECTION_BEGIN("Advanced Trend Lines");
function GetXSupport(Lo, Percentage, Back)
{
 return ((BarCount - 1) - LastValue(TroughBars(Lo, Percentage,Back)));
}
function GetYSupport(Lo, Percentage, Back)
{
 return (LastValue(Trough(Lo, Percentage, back)));
}

function GetXResistance(Hi, Percentage, Back)
{
 return ((BarCount - 1) -LastValue(PeakBars(Hi, Percentage, Back)));
}
function GetYResistance(Hi, Percentage, Back)
{
 return (LastValue(Peak(Hi, Percentage, Back)));
}
function TD_Supply(P)
{
return ( P > Ref(P, 1) AND P > Ref(P, -1) AND P > Ref(C, -2));
}
function TD_Demand(P)
{
return ( P < Ref(P, 1) AND P < Ref(P, -1) AND P < Ref(C, -2));
}
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
//Parameters
Percentage = Param("Percentage", 1.5, 0.01, 100. ,0.01);
DrawAllLines = ParamToggle("Draw All Lines?", "No|Yes");
Lines = Param("Lines?", 1, 1, BarCount-2);
DrawR = ParamList("Resistance Points", "Off|High to High|High to Low", 1);
DrawS = ParamList("Support Points", "Off|Low to Low|Low to High", 1);
ShowTDP = ParamToggle("Show TD Pionts", "No|Yes", 1);
AllOrDownR = ParamToggle("Resistance Direction", "All|Down");
AllOrUpS = ParamToggle("Support Direction", "All|Up");
ShowSR = ParamToggle("Show Vert S/R","No|Yes", 1);
SRPer = Param("S/R Percentage", 3, 1);
SRBack = Param("S/R Back", 5, 1);
str = "";
Res = Sup = 0;
Con = 1;
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
Main = C;
Con = ConS = ConR = 1;
if(DrawS=="Low to Low")
{
Support1 = L;
Support2 = L;
}
else
{
Support1 = L;
Support2 = H;
}
if(DrawR=="High to High")
{
Resistance1 = H;
Resistance2 = H;
}
else
{
Resistance1 = H;
Resistance2 = L;
}
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
//Plotting Area
Plot(Main, "", IIf(C>O,colorGreen, colorRed), styleBar);
if(DrawAllLines)
for(i = 2; i<=Lines+1; i++)
{
if(DrawS!="Off")
{
x0 = GetXSupport(Support1, Percentage, i);
x1 = GetXSupport(Support2, Percentage, i-1);
y0 = GetYSupport(Support1, Percentage, i);
y1 = GetYSupport(Support2, Percentage, i-1);
x = LineArray(x0, y0, x1, y1, 1);
if(AllOrUpS) ConS = StrToNum(NumToStr(y0 < y1));
if(Con AND ConS)
Plot(x, "", IIf(LastValue(C) < LastValue(x), colorBlue,colorLightBlue),
styleLine|styleThick);
}
if(DrawR!="Off")
{
x0 = GetXResistance(Resistance1, Percentage, i);
x1 = GetXResistance(Resistance2, Percentage, i-1);
y0 = GetYResistance(Resistance1, Percentage, i);
y1 = GetYResistance(Resistance2, Percentage, i-1);
x = LineArray(x0, y0, x1, y1, 1);
if(AllOrDownR) ConR = y0 > y1;
if(Con AND ConR)
Plot(x, "",  IIf(LastValue(C) < LastValue(x), colorBlue,colorLightBlue),
styleLine|styleThick);
}
}
else
{
if(DrawS!="Off")
{
x0 = GetXSupport(Support1, Percentage, Lines+1);
x1 = GetXSupport(Support2, Percentage, Lines);
y0 = GetYSupport(Support1, Percentage, Lines+1);
y1 = GetYSupport(Support2, Percentage, Lines);
x = LineArray(x0, y0, x1, y1, 1 );
Sup = LastValue(LinRegSlope(x, Lines+1));
if(AllOrUpS) ConS = y0 < y1;
if(Con AND ConS)
Plot(x, "", IIf(LastValue(C) < LastValue(x), colorBlue,colorLightBlue),
styleLine|styleThick);
}
if(DrawR!="Off")
{
x0 = GetXResistance(Resistance1, Percentage, Lines+1);
x1 = GetXResistance(Resistance2, Percentage, Lines);
y0 = GetYResistance(Resistance1, Percentage, Lines+1);
y1 = GetYResistance(Resistance2, Percentage, Lines);
x = LineArray(x0, y0, x1, y1, 1 );
Res = LastValue(LinRegSlope(x, Lines+1));
if(AllOrDownR) ConR = y0 > y1;
if(Con AND ConR)
Plot(x, "",  IIf(LastValue(C) < LastValue(x), colorBlue,colorLightBlue),
styleLine|styleThick);
}
str = "\nR Slope=("+Res+"), S Slope=("+Sup+")";
}

if(ShowTDP)
{
PlotShapes(TD_Supply(H)*shapeSmallCircle, colorRed, 0, H, H*.001);
PlotShapes(TD_Demand(L)*shapeSmallCircle, colorGreen, 0, L, -L*.001);
}
if(ShowSR)
{
for(i=1; i<=SRBack; i++)
{
x0 = GetXSupport(L, SRPer, i);
x1 = BarCount-1;
y0 = GetYSupport(L, SRPer, i);
x = LineArray(x0, y0, x1, y0, 0);
Plot(x, "", IIf(LastValue(C) > x, colorDarkGreen, colorDarkRed),
styleLine|styleDashed|styleThick);
x0 = GetXResistance(H, SRPer, i);
y0 = GetYResistance(H, SRPer, i);
x = LineArray(x0, y0, x1, y0, 0);
Plot(x, "", IIf(LastValue(C) > x, colorDarkGreen, colorDarkRed),
styleLine|styleDashed|styleThick);

}
}
//Title =FullName()+" ({{NAME}})\n{{DATE}}\n"+"Open: "+O+", Hi: "+H+", Lo: "+L+",
//Close: "+C+StrFormat(" (%.2f  %.2f\%)", C-Ref(C, -1), SelectedValue(ROC(C,1)))+str;

_SECTION_END();

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

+++ 30บทเรียนแห่งความมั่งคั่งจากหนังสือ Secret of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน)

30บทเรียนแห่งความมั่งคั่งจากหนังสือ Secret of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน)

1.ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม คุณก็ต้องยอมเต็มใจยอมปล่อยวางวิธีคิด และการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
แล้วนำวิธีคิดแบบใหม่เข้ามาสู่ชีวิตแล้วคุณจะประจักษ์ถึงผลที่ตามมาในที่สุด

2.โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงเสียงสะท้อนของโลกภายในเท่านั้น ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนอกตัวคุณไม่ได้เป็นได้ด้วยดี นั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆ ภายในตัวคุณก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกัน

3. ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ การกระทำนำไปสู่ผลลัพธ์

4.เงินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญแม้แต่นิดเดียว สำหรับทุกเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน

5. เมื่อคุณบ่น คุณกำลังกลายร่างเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความเลวร้าย” ที่มีชีวิต

6.จำไว้ว่าคุณเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตทางการเงินของตัวคุณเองว่าจะมั่งคั่ง ถังแตก หรือมีฐานะในระดับใดก็ตาม

7.เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

8.ถ้าคุณไม่มุ่งมั่นกับการสร้างฐานะอย่างเต็มตัว และสุดหัวใจ คุณก็จะไม่มีโอกาสร่ำรวย

9.การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัว และความไม่พอใจในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่ และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงิน และความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!

10.ไม่มีทางที่โชค หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลงมือทำการใดๆ (เพื่อเตรียมตัวรับโชคหรือสิ่งนั้นๆ)

11. คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ

12.คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้นแล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง“เตรียมตัว”อยู่นะสิ!

13.คนรวยมักเป็นผู้นำและผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำที่ย่อมมีผู้ตาม และผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่า คุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ

14.ถ้าคุณเชื่อว่า สิ่งที่คุณมีสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง หน้าที่ของคุณ ก็คือ การบอกให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รับรู้ และวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณช่วยเหลือคนอื่นได้เท่านั้น แต่คุณยังจะร่ำรวยอีกด้วย!

15.เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยง ปัดหรือหันหลังให้กับปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำ คือ การพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา

16.ถ้าคุณบอกว่าคุณมีค่า คุณก็มีค่า ถ้าคุณบอกว่าคุณไร้ค่า คุณก็ไร้ค่า ไม่ว่าอย่างไร คุณก็จะดำเนินชีวิตไปตามเรื่องราวที่คุณแต่งขึ้นเอง

17.คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหา เพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่า คุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า...“อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ”

18.มาตรวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สินไม่ใช่รายได้จากการทำงาน

19.ถ้าคุณไม่ควบคุมเงินของคุณ มันก็จะควบคุมคุณการจะควบคุมเงินของคุณ คุณต้องรู้จักบริหารเงิน

20.อิสรภาพทางการเงิน คือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ต้องการโดยไม่ต้องทำงานหรือพึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน

21.คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้จากทรัพย์สินของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย

22.คนจนทำงานหนักและใช้เงินทั้งหมดที่มาหาได้ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวยทำงานหนัก สะสมเงิน และนำไปลงทุน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก

23.ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือ การรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ(บางสิ่งบางอย่างไปสู่ความมั่งคั่ง) และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป

24.คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้น มาหยุดยั้งตนเอง

25.ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวัน พร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา

26.การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครองครอง เพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จ

27.น้อยคนนักจะรู้ว่า วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้าง และรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ก็คือ การพัฒนาตัวคุณเอง เพื่อให้คุณเติบโตเป็นคนที่ “ประสบความสำเร็จ”

28. คนจน และชนชั้นกลางส่วนใหญ่เชื่อว่า “ถ้าฉันมีมากๆ ฉันก็จะสามารถทำในสิ่งที่ฉันต้องการ และเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้” ส่วนคนรวยเข้าใจว่า “ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีสิ่งที่ฉันต้องการ รวมไปถึงจำนวนเงินมากๆด้วย”

29.คนรวยคือผู้เชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ ชนชั้นกลางคือพวกที่ทำงานของตัวเองได้ดีในระดับปานกลางและคนจนคือพวกที่ทำงานของตัวเองไม่ได้เรื่องเลย

30.การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวรนั้นมันต้องเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้ง....เครือข่ายในสมองคุณต้องถูกสร้างขึ้นใหม่นั่นหมายความว่าคุณต้องนำมันไปปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่อ่าน อย่าเพียงแต่พูดถึงมัน และอย่าเอาแต่คิด จงลงมือทำจริงๆ

Credit : กลุ่มLine